หัวข้อ : เล่มที่ 6 รวมสมาพันธ์เฟิงเป็นหนึ่ง ตอนที่ 2 แล้วก็ตายอีกครั้ง

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:08

ตอนที่ 2

 

แล้วก็ตายอีกครั้ง

 

 

อาคารพาณิชย์มังกรทองแห่งศตวรรษ ออกแบบเป็นลักษณะเสาทรงกลมที่ด้านนอกมีสีทองอร่ามและสูงชะลูดทะลุฟ้า

มันคือตึกที่สูงที่สุดในเมืองใหม่หลานเฟิง และบริษัทที่สามารถเข้ามาตั้งออฟฟิศอยู่ในตึกหลังนี้ได้ ก็มีแต่บริษัทอันดับต้นๆ ของประเทศทั้งสิ้น ตึกนี้มีทั้งหมด 388 ชั้น แต่ละชั้นมีพื้นที่กว้างประมาณ 3,000 กว่าผิง[1] (ประมาณ 10,000 ตารางเมตร)

แต่ทว่าในยุคของการติดต่อสื่อสารด้วยอินเทอร์เน็ตนี้ พนักงานของธุรกิจแต่ละแขนงที่ยังต้องไปนั่งทำงานที่บริษัทมีไม่มากนัก ดังนั้นห้องทำงานของพนักงานแต่ละคนจึงมักจะกว้างกว่า 20 ผิง (66 ตารางเมตร) กันทั้งนั้น

เพียงแต่การที่ธุรกิจสายผลิตแห่กันหลั่งไหลออกไปตั้งยังต่างประเทศได้ส่งผลให้อาคารพาณิชย์หลังนี้เป็นเหมือนกับอาคารพาณิชย์หลังอื่นๆ นั่นคือ...อาคารที่เคยสร้างปาฏิหาริย์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนหลังนี้ค่อยๆ ว่างเปล่าลงเพราะการจากไปของผู้คน

กระนั้นมังกรทองผู้หยิ่งผยองก็มิได้ลดราคาของมันลงตามกระแสแต่อย่างใด ราคาค่าเช่าในแต่ละเดือนและราคาขายต่อผิงยังคงรักษาระดับราคาที่สูงที่สุดของประเทศเอาไว้เช่นเดิม ดูเหมือนเจ้าของกิจการจะไม่นึกกังวลเลยแม้แต่น้อยว่าการมีห้องว่างมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อรายรับและการยืนหยัดต่อไปของอาคารหลังนี้

เมื่อกิจการเก่าๆ เริ่มซบเซา ก็จะมีกิจการใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ไม่ต่างอะไรเลยกับเมื่อหลายศตวรรษก่อน เมื่อปีที่แล้วได้มีลูกค้ารายใหม่เข้ามาในอาคารมังกรทองฯ แล้วเหมาชั้น 380-388 ที่สนนราคาสูงที่สุดเอาไว้ในรวดเดียว

แน่นอนว่าถ้าเรื่องมันมีแค่นี้ละก็ ยังไม่มีทางสร้างความปั่นป่วนให้วงการธุรกิจได้มากมายอะไรนักหรอก สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งวงการธุรกิจพากันรอดูรายการหน้าแตกอย่างครื้นเครงคือกลยุทธ์ของลูกค้ารายใหม่นี้...กลยุทธ์จ้างพนักงานถึง 1,500 คนต่างหาก !

ควรทราบว่าในยุคนี้ ต้นทุนส่วนที่สูงที่สุดในการดำเนินธุรกิจ ก็คือแรงงานคนนี่แหละ

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งปี เหล่าผู้อาวุโสแห่งวงการธุรกิจต่างก็ต้องหัวเราะไม่ออก แถมยังพากันตกตะลึงจนแว่นตาร่วงไปตามๆ กัน กิจการอะไรกันแน่หนอที่มีพลังแข็งแกร่งถึงขนาดสามารถทวนกระแสได้ ?

มันก็ไม่ใช่กิจการใหม่เอี่ยมอะไรหรอก และไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎนักต้มตุ๋นที่กลวงในด้วย แต่มันคือบริษัทผู้บุกเบิกเกม “ราชาแห่งราชัน”...บริษัทเลจจ์ธุรกิจการควบคุมและออกแบบเกม นั่นเอง

ในห้องกว้างขนาด 1,000 ผิงห้องหนึ่ง ณ ชั้นบนสุดของอาคารมังกรทองฯมีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่วางเต็มพื้นที่ จอภาพกว่า 3,000 จอมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พอลองดูดีๆ แล้ว ปรากฏว่านั่นคือภาพทุกซอกทุกมุมภายในเกม “ราชาแห่งราชัน” นั่นเอง

มีคนสองคนกำลังจ้องไปที่จอภาพหนึ่งในบรรดาจอภาพทั้งหมดพลางถกกันไปมา เสียงชมเชยสลับเสียงอุทานด้วยความตกใจที่หลุดจากปากเป็นระยะๆ ทำให้อดรู้สึกว่าดูมีลับลมคมในยังไงชอบกลไม่ได้

หญิงสาวผมทองหันมาพูดกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า

“ฮ่าๆ ! เจี๋ย ฝูงมดแดงไฟที่นายออกแบบถูกเคลียร์ไปด้วยแล้วนะ ! ฉันบอกแล้วว่าแค่พวกมันน่ะไม่พอหรอก นายไม่ยอมเชื่อเอง ต่อไปถึงตาฉันออกโรงบ้างล่ะ จำไว้ด้วยนะว่านายแพ้พนันข้าวหนึ่งมื้อ”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “เจี๋ย” ยิ้มจืดๆ

“ไม่นับๆ ครั้งนี้ไม่นับน่า ! พวกนั้นไม่ได้เคลียร์ได้จริงๆ ซะหน่อย เป็นเพราะถึงเวลาเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืนแล้วต่างหาก ไม่งั้นอีกแค่ 10 นาทีพวกนั้นก็ต้องต้านไม่ไหวแล้วแน่ๆ...แว้ก ! Miss หลี่ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ? นั่นมันบอส[2]ระดับ 70 เชียวนะ ! แบบนี้มันไม่เวอร์เกินไปหน่อยเรอะ ? ลูกพี่แค่บอกว่าอย่าให้พวกนั้นฝ่าเข้าไปได้ แต่ไม่ได้บอกให้เอาพวกนั้นให้ถึงตายซะหน่อยนะ !”

“กล้าพนันต้องกล้าแพ้สิยะ ! ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่เลย ยอมรับซะโดยดีเถอะน่า” Miss หลี่ว่า “ฉันน่ะไม่ได้เข้าใจอะไรผิดหรอก นายนั่นแหละไม่รู้เรื่องอะไร สำหรับคนอื่นทำแบบนี้อาจจะโหดเกินไปหน่อย แต่สำหรับตานี่แค่กำลังพอดีเท่านั้นแหละน่า จะบอกให้นะว่ากระทั่งพญานกฮูกระดับ 65 ยังโดนตานี่ไล่บี้เล่นมาแล้ว ขืนไม่ส่งตัวที่เก่งๆ หน่อยไปล่ะก็ จะไปหยุดอีตาบ้านี่ได้เรอะ ? อย่าว่าแต่ที่นี่ใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้ ยังไงก็ไม่ตายหรอกน่า !

“นี่ฉันเกรงใจมากแล้วนะจะบอกให้ ตอนแรกน่ะฉันกะจะส่งมังกรวายุระดับ 80 ไปด้วยซ้ำ สเต็กเนื้อวัวอย่างไฮโซสุดของอาคารมังกรทองฯนี่ 1 ที่ก็พอ ฮิฮิ ไม่ถือว่าเกินเหตุใช่มั้ยล่ะ !”

เจี๋ยตะลึง “จริงหรือเปล่าน่ะ ? พญานกฮูกเชียวนะ ! บันทึกของวันไหนหรือ ? เดี๋ยวผมต้องไปดูซะหน่อยแล้ว...แต่หมอนั่นนี่ก็ซวยชะมัดยาดจริงๆ ผมว่าพวกคุณน่ะแหละบ้ายิ่งกว่าเขาอีก เกิดเขาฝ่าเข้าไปได้ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ รางวัลจากระบบอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับภาชนะเทพโน่นเลยใช่ไหมน่ะ ? ความยากระดับนี้มันความยากมาตรฐานของพวกระดับตั้ง 200 โน่นเชียวนะ”

“นายต่างหากล่ะยะที่บ้า” Miss หลี่แยกเขี้ยว “ได้แต่โทษอีตานี่เองน่ะแหละที่ดันไม่รู้จักเลือกเวล่ำเวลา นานๆ ทีลูกพี่จะอุตส่าห์ลงมือเองทั้งทีแท้ๆ อีตานี่ดันเกิดคิดจะไปเอาตอนนี้ ทำเอาพวกเราอดดูฝีมือลูกพี่ไปเลย นี่ถ้าปล่อยให้อีตานี่ฝ่าผ่านไปได้ล่ะก็ พวกเรามีหวังโดนลูกพี่สวดยับแน่”

คำพูดของ Miss หลี่ทำให้เจี๋ยนึกขึ้นได้ และแลบลิ้นอย่างสยอง

“ไม่รู้ครั้งนี้ลูกพี่ออกแบบลูกเล่นใหม่อะไรออกมาสิน่า ถึงได้ใช้เวลานานตั้งขนาดนั้น ไม่ได้ไปดูนี่น่าเสียดายชะมัด ว่าแต่...แบบนี้มันจะไม่อยุติธรรมกับพวกนั้นเกินไปหรอกหรือ ? จะว่าไปปกติไม่เคยเห็นลูกพี่คึกขนาดนี้มาก่อนเลยนะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอ กลุ่มผู้ออกแบบเกมถึงได้ยุ่งจนหัวปั่นกันไปหมดแบบนี้ ?”

ตาของ Miss หลี่จ้องหน้าจอเขม็ง มือก็ขยับไม่ได้หยุด ส่วนปากพูดตอบว่า

“นายไม่รู้หรอกว่าช่วงเจ็ดวันที่นายลาพักร้อนน่ะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ! และตัวการที่ทำให้เปลี่ยน ก็คืออีตาบ้าตรงหน้านายนี่แหละ อีตานี่ไม่แค่ทำให้แผนการทุกอย่างที่ลูกพี่วางเอาไว้ปั่นป่วนไปหมดเท่านั้นนะ ยังได้ยินมาว่าเคยประมือกับร่างแยกในเกมของลูกพี่ซะด้วย

“เฮ้อ...ที่แย่ที่สุดคือเหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวันเท่านั้น ลูกพี่สั่งให้พวกเราใส่ภารกิจในการฝึกทักษะอาชีพให้ครบทั้งหมดภายในเจ็ดวันนี้ ขืนไม่ทำโอที[3]นี่ไงๆ ก็ไม่มีทางเสร็จทันอยู่แล้ว”

พอฟังจบ เจี๋ยก็ตบหน้าผากแปะพลางร้องลั่น

“เจ็ดวัน...ตายโหง ! ไม่จริงใช่มั้ย ? แบบนี้มันถึงตายได้จริงๆ นะ ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เห็นตอนแรกกำหนดเอาไว้ว่าจะเริ่มเปิดตัวในอีกสามเดือนให้หลังไม่ใช่เหรอ ?”

Miss หลี่หัวเราะ “ต้องรับศึกหนักแล้วล่ะเจี๋ยเอ๋ย ไว้ว่างๆ ค่อยเล่าให้นายฟังก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นนายจะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงได้ส่งเจ้าตัวนี้ไปเล่นงานอีตานั่น ตอนนี้มาจัดการอีตาคนที่ทำให้พวกเราต้องตาลีตาเหลือกทำโอทีให้จั๋งหนับกันก่อนดีกว่า !”

 

นอกจากหุบเขามรณะอันเปลี่ยวร้างแล้ว เทือกเขาเศียรมังกรและเทือกเขาหางมังกรซึ่งถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกอยู่ชั่วนาตาปีถือเป็นสถานที่ที่ลึกลับและอันตรายที่สุดในบรรดาเขตที่เปิดให้ใช้งานแล้วทั้งหมดของเกม “ราชาแห่งราชัน”

ลือกันว่า เทือกเขาเศียรมังกรและเทือกเขาหางมังกรมีความเกี่ยวพันพิเศษระหว่างกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกระยะหนึ่ง สถานที่หนึ่งในสองแห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แถมสัตว์อสูรจะแข็งแกร่งจนโอเวอร์เสียด้วย

ว่ากันว่ากลุ่มผู้ออกแบบเกม “ราชาแห่งราชัน” เรียกเทือกเขาเศียรมังกรและหางมังกรว่า “เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เมื่อเห็นหางก็ย่อมจะไม่เห็นหัว”

นับตั้งแต่ยักษ์สามตาเขาเดียวเกล็ดมังกรเริ่มออกอาละวาดในหุบเขามรณะ จนทำให้ไม่สามารถเข้าไปในเทือกเขาหางมังกรได้เป็นต้นมา ผู้เล่นจำนวนมากต่างก็เชื่อว่า นี่แหละคือโอกาสอันงามในการไปสืบหยั่งความลับของเทือกเขาเศียรมังกรละ และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้บรรดาทหารรับจ้างที่รับจ้างคุ้มครองผู้เล่นข้ามทางหนวดมังกรต่างกระหยิ่มยิ้มย่องไปตามๆ กัน เพราะต่างก็ได้รับการว่าจ้างเยอะมากเสียจนล้นมือเลยทีเดียว โดยอย่างน้อยก็มีคิวงานต่อแถวยาวเหยียดไปถึงอีกสองอาทิตย์โน่น

และช่วงนี้ก็เป็นดังข้อมูลที่เล่าลือกันมาจริงๆ นั่นคือเหมือนกับว่าเทือกเขาเศียรมังกรกำลังลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ยังไงยังงั้น ผู้เล่นจำนวนมากต่างก็กำไรกันไปคนละไม่ใช่น้อยๆ แต่มาครั้งนี้โชคของเฉินเฟิงผู้ทำอะไรราบรื่นมาโดยตลอดดันแตกต่างจากผู้เล่นส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิงเสียได้

หลังจากลำบากแทบตายกว่าจะผ่านทางหนวดมังกรมาได้ ก็ยังต้องมาเจอกับฝูงมดแดงไฟหมุนเวียนกันดาหน้าเข้ามาสู้ พอผ่านไปถึงเนินจมูกสิงห์ เพิ่งจะเดินกันไปได้ไม่เท่าไร ก็เจอะเข้ากับวิกฤตการณ์หนักหนาสาหัสถึงชีวิตเข้าให้อีกแล้ว...

เสียงประกาศจากระบบได้ดังขึ้นกลางอากาศว่า

“ ‘พยัคฆ์เมฆา’ สัตว์อสูรระดับราชาถือกำเนิด ระดับ 70 สังกัดพิเศษหลายธาตุ ผู้ที่ถูกสัตว์อสูรระดับราชาสังหาร เวลาที่ใช้ในการรอเกิดใหม่ต้องเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 4 ชั่วโมง”

เสียงประกาศจากระบบได้ดับความหวังเพียงเสี้ยวเดียวที่เหลืออยู่ของเฉินเฟิงลงเสียสิ้น ดูท่าวันนี้จะซวยอภิมหาซวยเลยจริงๆ บอสระดับ 70 มันเท่ากับระดับของตัวเขาคูณสองพอดีเชียวนะ !

วิหารจันทราเทพกับเยี่ยหลานตกตะลึงตาค้าง ก่อนจะออกเดินทาง พวกเพื่อนๆ พากันบอกว่า ลือกันว่าเฉินเฟิงน่ะเป็น “ผู้เชี่ยวชาญการเจอบอส” มาตอนนี้ดันได้เจอบอสเข้าจริงๆ ด้วยสิ…

หลังจากได้ยินคำประกาศยืนยันจากระบบ ทั้งสามก็หันหลังกลับแล้วโกยหน้าตั้งทันทีโดยไม่แม้แต่จะนึกอยากดูสักนิดว่าพยัคฆ์เมฆาหน้าตามันเป็นยังไง

ได้ยินว่าระยะนี้มีผู้เล่นมาที่นี่กันไม่ใช่น้อย ตอนนี้เลยได้แต่ฝากความหวังว่าขอให้ได้เจอกลุ่มยอดฝีมือสถานเดียว ไม่อย่างนั้นอาศัยพวกเขาแค่สามคนน่ะเรอะ ไม่ต้องเดาให้ลำบากก็รู้อยู่แล้วว่าผลมันจะเป็นยังไง

ถึงแม้สัตว์อสูรระดับราชาจะเก่งมากก็ตาม แต่ก็มีลักษณะเด่นร่วมกันอยู่อย่าง นั่นคือปกติถ้าไม่เข้าไปท้าทายมันตรงๆ มันก็จะไม่ออกห่างจากบริเวณที่มันเกิดมากเกินไปนัก ซึ่งก็คือ...มันจะไม่มีทางไล่กวดผู้เล่นที่บังเอิญผ่านทางมาชนิดกัดไม่ปล่อยอย่างเด็ดขาดนั่นเอง

ทั้งสามต่างก็ปรึกษากันล่วงหน้าแล้วว่า สมมติถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้ แล้วจะรับมือกันยังไง ด้วยเหตุนี้แม้ทั้งสามจะต่างตกตะลึงตอนที่พยัคฆ์เมฆาถือกำเนิด แต่ก็ไหวตัวตามที่เตี๊ยมกันไว้ล่วงหน้าทันที นั่นคือไม่คิดจะสู้มาแต่แรก และจะใช้วิธีอ้อมเส้นทางผ่านไปกันแทน

“โฮกกกกก !”

เพียงแต่ลูกคิดรางแก้วของทั้งสามถูกทำลายลงอย่างยับเยินหลังเสียงคำรามสะท้านขวัญของพยัคฆ์เมฆา ถึงแม้ทั้งสามจะเผ่นหนีทันทีที่เสียงประกาศจากระบบจบลงก็ตาม แต่พยัคฆ์เมฆาดันไม่ยอมปล่อยทั้งสามไปง่ายๆ เสียนี่

สิ้นเสียงคำรามของพยัคฆ์เมฆา ฉับพลันนั้นที่ราบแอ่งกระทะซึ่งเดิมทีว่างเปล่าไม่มีอะไรทั้งสิ้นได้ปรากฏเสือปลาและเสือเขี้ยวดาบจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันตรงเข้ามา และแล้วทั้งสามก็ค้นพบด้วยความเจ็บช้ำว่าไม่มีความเป็นไปได้ใดที่จะอ้อมพวกมันไปได้เลย...

ทั้งสามผู้หมดทางเลือกได้แต่วิ่งย้อนกลับไปตามทางเดิมที่เดินกันมา ตอนนี้เรื่องเดียวที่ทั้งสามเป็นกังวลคือ ไม่ทราบว่าขอบเขตความเคลื่อนไหวของพยัคฆ์เมฆาตัวนี้กว้างแค่ไหน และถ้าเกิดขอบเขตของมันคือทั่วทั้งเนินจมูกสิงห์ล่ะก็ ต่อให้หนียังไงก็หนีไม่พ้นเห็นๆ

เฉินเฟิงวิ่งไปพลางถามซวงเว่ยถึงข้อมูลของพยัคฆ์เมฆาไปพลาง ซึ่งแน่ละว่าคำตอบที่ได้รับมันก็ต้องเป็น “นอกเหนือขอบเขต ไม่สามารถวิเคราะห์ได้” อยู่แล้ว เฉินเฟิงจึงได้แต่งัดเอาคู่มือสัตว์อสูรมาลองเปิดดู แต่พลิกดูจนครบทุกหน้าแล้วก็ยังไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับพยัคฆ์เมฆาอยู่ดี กระทั่งในรายชื่อสัตว์อสูรที่กำลังจะเปิดตัวซึ่งทางระบบประกาศให้ทราบล่วงหน้า ก็ยังไม่มีข้อมูลของพยัคฆ์เมฆาตัวนี้ด้วยซ้ำ

นี่มันไม่ปกติเสียแล้ว เพราะกระทั่งยักษ์สามตาเขาเดียวเกล็ดมังกรระดับ 80 เอง ถึงจะไม่มีข้อมูลอยู่ในคู่มือสัตว์อสูรเหมือนกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยในตารางรายชื่อสัตว์อสูรที่กำลังจะเปิดตัวก็ยังมีชื่อของมันอยู่ด้วยเลย ขณะที่พยัคฆ์เมฆาตัวนี้ดันไม่มีข้อมูลเลยสักนิด เฉินเฟิงชักสงสัยเสียแล้วว่าหรือระบบจะเกิดการขัดข้อง ?

“พี่เฟิงๆ ! ทางนี้ต่างหากค่ะ !”

เสียงร้องเรียกของเยี่ยหลานทำให้เฉินเฟิงที่เริ่มวิ่งไปคนละทางกับสองสาวได้สติ แล้วเกาศีรษะแกรกๆ อย่างกระดาก ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับสองสาว

วิหารจันทราเทพถอนหายใจ “พี่เฟิง เธอนี่ร้ายกาจมากกกกกกกกกกกกจริงๆ นะ หลานเล่าเรื่องเปิ่นๆ ของเธอตอนพาหลานไปฝึกวิชาให้ฉันฟัง ตอนแรกฉันยังไม่ค่อยจะเชื่อด้วยซ้ำ มาตอนนี้ใครจะไปคิดว่าขนาดกำลังวิ่งอยู่แท้ๆ เธอยังใจลอยได้เลย แบบนี้มันออกจะเวอร์ไปหน่อยแล้วมั้ง ! นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่น่ะหา ?”

เฉินเฟิงพูดเก้อๆ “ก็เจออะไรบางอย่างนิดหน่อยน่ะ แต่ว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ผมพบว่าหาข้อมูลเกี่ยวกับพยัคฆ์เมฆาไม่เจอ เพราะงั้น...เพราะงั้นผมถึงคิดว่า บางทีระบบอาจจะขัดข้องก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเราอาจจะหลงเข้ามาในที่ที่ไม่สมควรมาเข้าให้แล้ว”

“หาข้อมูลของพยัคฆ์เมฆาไม่พบมันเรื่องปกตินี่นา ! เมื่อกี้ระบบก็ประกาศบอกแล้วนี่ว่ามันมีระดับ 70 ทางสมาคมนักเขียนบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วล่ะค่ะว่า ในบรรดาข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขามี สัตว์อสูรระดับสูงที่สุดก็คือพญานกฮูกระดับ 65 แล้วที่หาข้อมูลของสัตว์อสูรระดับสูงกว่านี้ไม่เจอมันไปเกี่ยวอะไรกับระบบขัดข้องหรือคะ ?” วิหารจันทราเทพสงสัย

เฉินเฟิงอธิบายว่า “ผมเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ข้อมูลที่ผมพูดถึงเมื่อกี้น่ะ หมายถึงตารางรายชื่อสัตว์อสูรที่กำลังจะเปิดตัวซึ่งทางระบบประกาศให้ทราบล่วงหน้าต่างหาก เพื่อนที่เคยเป็นสมาชิกของสมาคมนักเขียนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า สัตว์อสูรที่ผ่านการทดสอบมาแล้วจะมีรายชื่ออยู่ในตารางนั่นทั้งนั้น เมื่อก่อนสมาคมนักเขียนก็ใช้ตารางนี้นี่แหละไปรวบรวมข้อมูล ที่คู่มือสัตว์อสูรออกมาเร็วและมีข้อมูลสมบูรณ์ ก็เพราะอาศัยตารางนั่นเขียนออกมาไงล่ะ”

เยี่ยหลานเองก็พูดขึ้นเหมือนนึกอะไรได้กะทันหัน

“ฮ้า ! งั้นพี่เฟิงก็หมายความว่า พวกเราอาจจะหลงเข้ามาในเขตทดลองเข้าให้แล้วสินะคะ ?”

วิหารจันทราเทพงงไปหมดแล้ว นี่เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานไปได้ข้อมูลของสมาคมนักเขียนอันแสนจะลึกลับมาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ? ฟังจากเนื้อหาที่ทั้งสองพูดกันเมื่อครู่มันน่าจะถือเป็นความลับของสมาคมนักเขียนทั้งนั้นเลยนะ

ซึ่งความจริงกลวิธีการเขียนคู่มือสัตว์อสูรนั้นถือเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำเลยทีเดียวเชียวแหละ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอแยกจากเฉินเฟิงมาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ขอบเขตของเรื่องที่เขารู้ก็ขยายกว้างขึ้นมากจนสุดจะหยั่งคาดได้ถึงขนาดนี้

เฉินเฟิงลังเล “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน อีกประเดี๋ยวถ้าจนหนทางเข้าจริง พวกเราค่อยทดลองดูอีกครั้งก็แล้วกัน บางทีเราอาจจะหลงเข้ามาในเขตทดลองกันจริงๆ ก็ได้”

“โฮกกก ! โฮกกกกก !”

เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่ดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้าผืนดินเตือนให้ทั้งสามรู้ตัวว่านี่กำลังวิ่งหนีกันอยู่นะ แค่ที่เสียเวลาคุยกันแป๊บเดียวเมื่อครู่ พยัคฆ์เมฆาก็นำทัพใหญ่บุกมาประชิดซะแล้ว

อานุภาพประหนึ่งหมื่นอาชาห้อตะบึง บวกกับเสียงพยัคฆ์คำรามกึกก้องสะท้านขวัญ ไม่ว่าคนปกติคนไหนมาเห็นเข้า เป็นต้องขวัญบินกันทั้งนั้น

เฉินเฟิงคว้าตัวสองสาวโยนขึ้นหลังซวงเว่ยทันควันโดยแทบไม่ต้องคิด แล้วช่วยใช้คาถาท่องลมให้มันเสริมเข้าไปอีก

สองสาวเจอเหตุไม่คาดคิดโดนโยนขึ้นหลังม้าอย่างกะทันหัน แถมก่อนจะทันได้ประท้วงต่อกิริยาหยาบคายที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนนี้ ก็ดันถูกซวงเว่ยพาวิ่งตะบึงออกห่างจากตำแหน่งเดิมไปเสียก่อน แม้พวกเธอจะพยายามบอกให้มันหยุดอย่างสุดความสามารถ แต่ซวงเว่ยดันฟังคำสั่งของพวกเธอไม่รู้เรื่องเสียนี่ ส่วนเจ้านายของมันยิ่งไม่มีเวลาว่างมาช่วยดูแลเข้าไปใหญ่

ที่เฉินเฟิงไม่ว่างมันก็แน่อยู่แล้ว เพราะดูเหมือนกองทัพที่พยัคฆ์เมฆายกมาคิดจะช่วยส่งเสริมการทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอันสุดจะโง่ของเฉินเฟิงอยู่เหมือนกัน จึงได้เข้ามาล้อมจนกลืนเงาร่างของเฉินเฟิงไปในพริบตา

เฉินเฟิงรอจนสองสาวหนีพ้นไปจากวงล้อมปุ๊บ ก็จัดการปล่อยอเล็กซ์ออกมาทันที จากนั้นกลุ่มควันสีขาวก็พลุ่งขึ้นทันควัน ตามด้วยแสงสารพัดสีเปล่งประกายวูบวาบติดๆ กันอย่างครื้นเครง ทั้งสีทอง สีเหลือง สีเขียว สีดำอ่อน สุดท้ายเฉินเฟิงพร้อมด้วยอเล็กซ์ อู้คง และหลายฝูก็พากันแวบหายไปอย่างกะทันหันขณะที่กรงเล็บของเสือปลาตัวแรกกำลังจะสัมผัสตัวเขาเข้าพอดี ทำเอาสัตว์อสูรทั้งหมดต่างโถมใส่ความว่างเปล่าไปตามๆ กัน

เดิมทีสัตว์เลี้ยงจะไม่สามารถออกห่างจากเจ้าของไกลเกินไปได้ แต่จุดนี้จะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อทักษะสื่อสารเพิ่มระดับสูงขึ้น

ซวงเว่ยแบกสองสาววิ่งตะบึงสุดฝีเท้าไปทางทิศตะวันตก จนกระทั่งอ้อมกองหน้าซ้ายขวาของทัพสัตว์อสูรไปได้ ก็หักเลี้ยวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทันที ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่ามันตั้งใจจะทำอะไร ตอนที่สองสาวดิ้นรนโดดลงจากหลังม้าโดยไม่สนใจแล้วว่าจะเจ็บตัว พวกเธอก็อยู่ห่างจากสนามรบมาไกลถึงหนึ่งกิโลเมตรแล้ว

เยี่ยหลานยิ้มเฝื่อนๆ “ครั้งนี้พี่เฟิงมุ่งมั่นเอามากๆ จริงๆ...”

วิหารจันทราเทพพูดอย่างมีโมโห “อีตาทึ่มนี่ ! ถ้าเขาไม่ได้ไปด้วย ต่อให้พวกเรามีโอกาสไปถึง พวกเราก็ไม่มีทางสบายใจอยู่ดีนั่นแหละ !”

พูดจบก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าจะวิ่งย้อนกลับไป แถมยังแวะขอลูกศรวายุอัคคีจากเยี่ยหลานอีกต่างหาก เพราะเธอตกตะลึงกับอานุภาพของเจ้านี่มากที่สุดแล้วในตอนที่แข่งขันกันที่ชีพจรมังกรแห่งที่ 5

แต่เพิ่งจะวิ่งกันไปได้แค่ไม่กี่ก้าว สภาพการณ์ตรงหน้าก็ทำเอาสองสาวตกตะลึงจังงัง

ปรากฏว่าพอกองทัพเสือซึ่งพยัคฆ์เมฆานำมากระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่าปุ๊บ ความปั่นป่วนชุลมุนก็อุบัติขึ้นทันที กว่าสองสาวจะวิ่งกลับมาถึง พวกมันก็จัดรูปขบวนใหม่กันเสร็จพอดี และเมื่อพวกมันหันมาเห็นเป้าหมายใหม่เข้า ก็แห่กันวิ่งตะบึงคึ่กๆ เข้าไปหาทันควัน

วิหารจันทราเทพหน้าตาตื่น “เฉินเฟิงเสร็จพวกมันเร็วขนาดนี้เชียว ? หลาน เธอได้รับข้อความที่เขาส่งมาให้บ้างหรือเปล่า ? เขาถอยกลับไปแล้วหรือ ? หรือว่ายังไงกันแน่ ?”

“ไม่มีนี่คะ ? ข้อความสุดท้ายบอกให้พวกเราฉวยโอกาสอ้อมทางซะ แล้วก็ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ใช้ม้วนคาถากลับบ้านไปเลย ส่วนตอนนี้ไม่มีสัญญาณตอบกลับมาค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” เยี่ยหลานตอบ

 

ตอนที่เฉินเฟิงซึ่งทั้งตัวเต็มไปด้วยแสงวูบวาบระยิบระยับปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่สัตว์อสูรที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่กองทัพเสือที่พยัคฆ์เมฆายกมาแต่อย่างใด หากแต่เป็นสัตว์อสูรที่เห็นแล้วต้องอ้าปากค้างยิ่งกว่า

กระทิง , ปิศาจหิน , เดดิกีวรัส , ตุ่นยักษ์ , พฤกษ์ไพธอนสารหนูแดง , พญานกฮูก , ยักษ์สามตาเขาเดียวเกล็ดมังกร…แล้วยังมีสัตว์อสูรอีกหลายตัวที่เขาไม่แม้แต่จะเคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ เฉินเฟิงร้องเสียงหลง

“สวรรค์ ! แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ นี่หว่า ?!”

เฉินเฟิงหันหลังกลับแล้วโกยอ้าวทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สถานการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่จะให้สู้เลย แค่นึกถึงก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ส่วนเรื่องที่ทำไมมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ พอเขาลองย้อนคิดดูถึงได้นึกออก

เรื่องของเรื่องคือ ตอนนั้นตัวเขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยดึงความสนใจของพวกสัตว์อสูรเพื่อถ่วงเวลาให้สองสาวไปทำตามความฝันให้สำเร็จ แล้วพอเริ่มสู้กันปุ๊บ เขาก็จัดการใช้ไอเท็มที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดไปในรวดเดียวทันที

ระเบิดควัน , ระเบิดแสง , ม้วนคาถาโล่ทองคำ , ม้วนคาถาเพิ่มพลังชุดเกราะ , ม้วนคาถากระบี่เที่ยงธรรม , ม้วนคาถาเพิ่มพลังเกราะทองคำ และม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตา พอลองตรวจดูไปจนถึงไอเท็มชิ้นสุดท้าย ถึงได้ทราบว่าที่เขามาโผล่ที่นี่เป็นเพราะฝีมือของม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตานั่นเอง

เมื่อค้นพบสาเหตุแล้ว เฉินเฟิงก็ค่อยสงบใจลงได้ จิตใจที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที เพราะในเมื่อสามารถเคลื่อนที่เข้ามาในพริบตาได้ ก็หมายความว่าอย่างน้อยยังสามารถเคลื่อนที่ออกไปในพริบตาได้

หลังจากที่เยือกเย็นขึ้นแล้ว เฉินเฟิงก็พลันพบว่าถึงบรรดาสัตว์อสูรที่เขาเพียงลำพังไม่มีทางสู้พวกมันได้แน่ๆ นั่นจะพากันแยกเขี้ยวกางเล็บ ร้องคำรามอย่างน่าขนลุกยังไง พวกมันก็ไม่มีวี่แววว่าจะบุกเข้าใส่เขาเลยสักนิด เขาจึงชะงักเท้าลงอย่างงุนงง แล้วหันไปสำรวจมองความเปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัว

อเล็กซ์ อู้คง ซวงเว่ย หลายฝู เฮ้ยเดี๋ยว !…ซวงเว่ย ?

เฉินเฟิงใจหายวาบ “ไหงซวงเว่ยถึงได้ตามมาด้วยล่ะ ? แล้วตอนนี้สองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ?”

เฉินเฟิงรีบดูนาฬิกาข้อมือของระบบอย่างร้อนใจ บนหน้าปัดมีแต่ตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า “หยุดใช้งานชั่วคราว” ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ช่องก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด

เฉินเฟิงเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแค่ครั้งเดียว นั่นคือตอนที่อยู่บนเส้นทางแห่งการทดสอบระหว่างทางไปวิหารเวทมนตร์ ถึงตอนนี้พวกเขาจะมาหาวิหารเหมือนกันก็เถอะ แต่มันคงไม่ได้บังเอิญปฏิบัติตามเงื่อนไขสำเร็จอีกครั้งหรอกมั้ง ? อย่าว่าแต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีภารกิจให้ต้องทำก่อนสักหน่อย

ฉับพลันนั้นเสียงเห่าของหลายฝูเรียกสติของเฉินเฟิงกลับมาในทันที เฉินเฟิงที่ได้สติแล้วได้พบกับเรื่องที่น่าตื่นตะลึงในบัดดล ท้องฟ้าที่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนแสงสว่างยังหรี่มืดลงแค่ครึ่งเดียว มาบัดนี้เปลี่ยนเป็นมืดสนิทไปแล้ว เหมือนกับว่าดวงจันทร์ถูกอะไรบางอย่างบังเอาไว้กระนั้น

เฉินเฟิงรีบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที แต่กลับไม่เห็นก้อนเมฆที่อาจจะมาบังดวงจันทร์เลยสักก้อนเดียว ทว่าก็ไม่เห็นดวงจันทร์ด้วยเหมือนกัน จะเห็นก็แต่เงาสีดำขนาดมหึมาปกคลุมท้องฟ้าบริเวณนั้นทั้งแถบ

ดวงจันทร์หายไปไหนแล้วล่ะ ?

สิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวมากที่สุด คือความไม่รู้

ขณะที่กำลังนึกหวาดผวานั่นเอง อยู่ๆ เฉินเฟิงก็พบว่าอากาศรอบด้านได้ผนึกตัวแข็งจนเขารู้สึกเหมือนถูกจับโบกคอนกรีตยังไงยังงั้น กระทั่งจะกระดิกนิ้วสักนิ้วก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ เองก็ดูเหมือนจะถูกความหวาดกลัวนี้ระบาดเข้าใส่จนพากันแผดร้องคำรามไม่ได้หยุด

เงามืดที่ปกคลุมผืนฟ้าขยายขนาดใหญ่โตขึ้นทุกทีๆ จนดูราวกับหลุมดำที่มีน้ำหนักมากยิ่งกว่าสรรพสิ่งใดๆ และสามารถดูดได้แม้กระทั่งจิตวิญญาณมนุษย์ อันจะทำให้มนุษย์ไม่สามารถหวนฟื้นคืนมาได้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์

“เสียงร้องเรียกแห่งความมืด เสียงกู่ก้องแห่งความตาย…”

เสียงห้าวทุ้มของผู้ชายดังขึ้นเนิบช้าราวกับกำลังร่ายบทกวี เสียงนี้เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ ?

ยังไม่ทันได้ลองนึกดูให้ดีๆ สังหรณ์ร้ายก็วาบขึ้นในใจเฉินเฟิงทันที ปฏิกิริยาแรกของเขาคือคิดจะเก็บพวกสัตว์เลี้ยงกลับเข้าไปในแส้ฯ แต่แล้วเฉินเฟิงกลับพบว่าตัวเขาไม่ทราบสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปตั้งแต่เมื่อไรเสียแล้ว กระทั่งจะเก็บสัตว์เลี้ยงเข้าแส้ฯก็ยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ

“ดวงดาวผู้ล้างแผ่นดิน ต้นตอแห่งความสิ้นหวัง จงฟังคำขานแห่งข้า ร่วงสู่พสุธาอันพินาศ…”

เงาดำบนท้องฟ้าทั้งหมดถูกย้อมกลายเป็นสีแดงสดในชั่วพริบตาที่เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ในเวลาแค่ไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนร้อยวินาที ก็มองเห็นชัดเจนว่ามันคือก้อนวัตถุสีแดงสดขนาดยักษ์ที่ปรากฏลอยอยู่บนท้องฟ้า

สำหรับเฉินเฟิงแล้ว เงาดำกับลูกไฟขนาดยักษ์เป็นเหมือนภาพที่ถูกสับเปลี่ยนในพริบตาโดยไม่มีการให้เวลาเขาได้ปรับสายตาแม้แต่น้อย

“จงมอดม้วยเสียเถิด ในนามแห่งวันสิ้นโลก จงทำให้ทุกสิ่งหวนคืนสู่ต้นกำเนิดแห่งความเป็นตายอีกครั้งเทอญ !”

ครั้นเสียงร่ายของชายคนนั้นสิ้นสุดลง ลูกไฟก็พุ่งตกลงมาอย่างรวดเร็วจนเปลวไฟก่อตัวเป็นหางยาวเหยียด จากไม่กี่เมตรเป็นหลายสิบเมตร กว่าร้อยเมตร ความรู้สึกกดดันที่ทั้งมหึมาและหนักอึ้งได้กดทับลงยังทุกสรรพชีวิตบนพื้นโลก

“อุกกาบาต !”

คำคำนี้วาบขึ้นในสมองของเฉินเฟิงทันที

เฉินเฟิงที่มัวแต่ตกตะลึงทอดถอนอย่างชื่นชมเพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าขืนปล่อยไปแบบนี้ล่ะก็ คะเนดูจากทิศทางที่มันพุ่งลงมา เป้าหมายสุดท้ายของมันคือหัวของเขาพอดีนี่หว่า !

อย่าล้อเล่นน่า ! ขืนถูกไอ้นั่นมันตกลงมาทับ มันจะไปรอดได้ยังไงกันเล่า ?

เฉินเฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบใช้ม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตาทันที แต่คำตอบจากระบบทำเอาเขาร่วงวูบสู่ความสิ้นหวังในบัดดล

“เขตนี้ไม่สามารถใช้ไอเท็มทุกชนิดได้เป็นการชั่วคราว !”

หลังจากหายอึ้ง เฉินเฟิงก็เปลี่ยนไปใช้ม้วนคาถากลับบ้านแทนอย่างไม่ยอมตัดใจ โดยหวังว่าระบบอาจจะแค่ล้อเขาเล่น

“เขตนี้ไม่สามารถใช้ไอเท็มทุกชนิดได้เป็นการชั่วคราว !”

“ตูม !”

ถึงแม้เฉินเฟิงจะอึ้ง ตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ อุกกาบาตก็ยังตกลงมาอยู่ดี ตกลงมาเร็วเสียจนเขาไม่ทันได้มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าขนาดของมันใหญ่แค่ไหน และทำไมมันถึงได้ตกลงมาที่นี่

ความโชคดีเพียงอย่างเดียวคือ พลังทำลายของมันมหาศาลสมดังคำล่ำลือจนทำให้เฉินเฟิงหมดสติไปก่อนที่จะทันได้รู้สึกเจ็บเสียอีก

หลังจากฝุ่นที่ฟุ้งตลบสงบลง คนกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันยังบริเวณที่เกิดภัยพิบัติจากอุกกาบาต หากผู้เล่นทั้งหลายได้เห็นชุดเกราะและอาวุธของคนกลุ่มนี้ มีหวังตกตะลึงทอดถอนชมเชยไปตามๆ กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากการดีไซน์ที่ดูโดดเด่นแปลกตาแล้ว ชุดเกราะและอาวุธทุกชิ้นยังเรืองแสงอยู่จางๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชุดเกราะระดับไอเท็มชั้นเลิศขึ้นไป แถมชุดเกราะระดับนี้ยังมาโผล่พร้อมกันทีเดียวหลายชิ้นแบบนี้ ทำให้ยากจะคาดคะเนจริงๆ ว่าคนกลุ่มนี้คือยอดคนจากสารทิศใดกันแน่

กลุ่มสัตว์อสูรที่ไม่ได้ถูกอุกกาบาตทับตายตรงเข้ามาล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่แค่ไม่กี่นาที พวกมันก็ถูกจัดการจนหมอบกระแตเรียบวุธอย่างง่ายดายเหมือนต้นข้าวโดนเคียว

อานุภาพระดับนี้มันช่างน่าแตกตื่นสะท้านขวัญสุดๆ จริงๆ ควรทราบว่าสัตว์อสูรที่หลังจากถูกอุกกาบาตตกใส่แล้วยังรอดชีวิตอยู่ได้นั้น มีแต่สัตว์อสูรที่อภิมหาแข็งแกร่งทั้งสิ้น แต่พอมาเจอกับคนกลุ่มนี้เข้า พวกมันกลับอนาถยิ่งเสียกว่าสัตว์อสูรที่มีไว้ให้พวกมือใหม่ฆ่าเสียอีก เพราะคนกลุ่มนี้ล้มพวกมันได้โดยที่ไม่ต้องใช้ยาฟื้นพลังเลยสักขวด !

หลังจากจัดการเก็บกวาดสัตว์อสูรเรียบร้อยแล้ว คนกลุ่มนี้ก็เดินไปยังตำแหน่งที่เฉินเฟิงอยู่เมื่อครู่ ชายหนุ่มที่อยู่หน้าสุดมองศพของเฉินเฟิงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างมาก กลุ่มชายหญิง 7-8 คนที่เดินตามมาด้านหลังต่างหันไปซุบซิบกันเบาๆ แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าสะอกสะใจอย่างชัดเจน

ครู่ใหญ่ต่อมา ลำแสงสว่างจ้าสองดวงก็โผล่วาบขึ้นที่ด้านข้าง ครั้นแล้วชายหญิงคู่หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเกราะและอาวุธที่เจ๋งมากพอๆ กัน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าดูตื่นตระหนกลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งสองพากันเดินตัวลีบมาที่ด้านข้างชายหนุ่มซึ่งยืนหน้าบึ้งเหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดกำลังเผชิญหน้ากับคุณพ่อที่โคตรจะดุอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัว ทุกคนก็เงียบเสียงลงอย่างฉับพลัน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นชวนอึดอัดอย่างประหลาด ทุกคนพากันมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างศพเฉินเฟิงเป็นตาเดียว

เนิ่นนานต่อมา ชายหนุ่มค่อยถอนหายใจ แล้วส่ายหน้าพูดว่า

“ไอ้หมอนี่เวลานึกฮึดขึ้นมานี่ ไม่มีใครฉุดอยู่จริงๆ เลยนะ…เอาเถอะ ให้คะแนนทดสอบเขาไป 1 คะแนนก็แล้วกัน...”

กลุ่มคนรายรอบค่อยระบายลมหายใจเฮือกออกมาได้ แต่คำถามประโยคถัดมาของชายหนุ่มทำเอาทุกคนกลับไปหนาวเยือกอีกครั้งทันที

“แล้วตอนนี้ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง...บ้าจริง ! ทำไมถึงปล่อยไอ้ตัวนั้นออกมาล่ะหา ?”



[1] ผิง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 ผิง = 3.3 ตารางเมตร

[2] บอส (Boss) ภาษาจีนคือ “หวาง” (wang) แปลว่า “ราชา” เป็นคำเรียกสัตว์อสูรระดับราชาอย่างย่อ

[3] โอที (over time) ทำงานล่วงเวลา คือ ทำงานเกินกว่าเวลาที่ต้องทำตามปกติ

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:08

0 ความคิดเห็น