โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:08
ตอนที่ 3
เขตทดลอง
เสียงดังกึกก้องกัมปนาททำเอาวิหารจันทราเทพกับเยี่ยหลานสะดุ้งโหยง แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฝูงสัตว์อสูรทางนี้กะทันหันกว่า ดังนั้นเสียงซึ่งทำให้เฉินเฟิงตายคาที่จึงไม่ได้กระตุ้นความสนใจของสองสาวเท่าไรนัก
ไม่ทราบจะบรรยายรูปร่างหน้าตาของพยัคฆ์เมฆาอย่างไรดีจริงๆ…
มองแต่ไกลจะเห็นเป็นสัตว์ขนาดยักษ์สีขาว ยามเคลื่อนไหวดูประดุจเหยียบย่างอยู่เหนือเมฆา ปีกสีขาวบนหลังขยับกระพือดูเลือนรางเลื่อนลอย ครั้นมันเข้ามาใกล้ รูปร่างเช่นพยัคฆ์อันเปี่ยมด้วยความอหังการ์น่าเกรงขามทำให้แค่สบตาก็ขวัญผวาแล้ว
อาจเป็นเพราะการล้อมโจมตีเฉินเฟิงเมื่อครู่ดันพลาดโถมเข้าใส่ความว่างเปล่า ทำให้พยัคฆ์เมฆารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เมื่อมาเจอสองสาวเข้า มันจึงออกวิ่งนำตรงเข้ามาหาทันทีโดยมีฝูงลูกเสือหลานเสือร้องคำรามวิ่งตะบึงคึ่กๆ ติดตามหลัง
ยังไม่ทันได้ปะทะกัน พยัคฆ์เมฆาก็วิ่งวนอ้อมสองสาวไปก่อนหนึ่งรอบ หมอกบางๆ ได้แผ่กระจายออกมาจากเท้าขนาดยักษ์สีขาวของมัน แค่พริบตาเดียวรอบบริเวณก็ตกอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาวไปในบัดดล แล้วอีกพริบตาต่อมาสองสาวก็ถูกล้อมเอาไว้โดยสิ้นเชิง
บางทีหมอกนี้อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษก็เป็นได้ เพราะความเคลื่อนไหวของบรรดาลูกเสือหลานเสือที่ล้อมอยู่โดยรอบได้เพิ่มขึ้นมาก ขนสีน้ำตาลปนเหลืองเรืองแสงอยู่รางๆ พวกมันพากันวิ่งวนไปรอบๆ โดยมีสองสาวเป็นศูนย์กลางจนหลอมรวมไปกับม่านหมอก และกลายเป็นเส้นไหมสีทองที่กำลังเลื่อนไหลไปเรื่อยๆ
ละอองหมอกสลัวมัวทิ้งตัวลงสัมผัสผิวกาย ให้ความรู้สึกแสนสบายราวผืนแพรเย็นระรื่นลื่นไหลผ่าน บวกกับภาพประกายสีทองระยิบระยับเคลื่อนวนอยู่รอบร่าง ดูพร่างพราวประหนึ่งหมู่ดาวนับล้านดวงโคจรอยู่รอบเอกภพสีขาวกระนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดละก็ สองสาวคงจะปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปนานแล้ว
สิ่งที่ทำให้สองสาวยังคงรักษาสติให้ตื่นตัวอยู่ได้ทั้งที่อยู่ท่ามกลางภาพอันงดงามนี้ คือพยัคฆ์เมฆาที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า 10 กว่าเมตรนั่นแหละ ถึงมันจะแค่มองดูพวกเธออยู่เงียบๆ โดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงคำรามก็ตาม กระนั้นเพียงพลังอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากตัวมันโดยธรรมชาติก็ทำเอาใครๆ ไม่สามารถจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมันได้แล้ว สองสาวต่างซุบซิบกันด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
เยี่ยหลานติดต่อเฉินเฟิงไม่ได้ แถมยังเห็นว่าไม่มีทางถอยเสียแล้ว แม้จะทราบดีว่าพวกเธอสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรฝูงนี้เลยสักนิด แต่อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากเฉินเฟิงมานานจนพลอยติดนิสัย “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” มาด้วย ทำให้หลังจากทอดถอนใจชมเชยความงดงามของภาพรอบกายแล้ว เธอก็กลับมามีใจสู้อย่างรวดเร็ว และพาดลูกศรหัวโตวายุอัคคีขึ้นสาย เตรียมจะตะลุยฝ่าออกไป
วิหารจันทราเทพรีบห้ามเยี่ยหลานที่น้าวคันศรจนสุดหล้าทันที
“หลาน รอเดี๋ยว ! ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่ฉันรู้สึกว่าพยัคฆ์เมฆาไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับพวกเรานะ บางทีพวกเราอาจจะลองพูดกับมันดูได้…”
ทว่าดูเหมือนนับตั้งแต่ธนูยาวของเยี่ยหลานจับคู่กับลูกศรวายุอัคคีเป็นต้นมา จะยังไม่เคยมีใครห้ามเธอยิงได้สำเร็จเลยสักราย ถึงแม้ครั้งนี้เยี่ยหลานจะไม่ได้กำลังโมโห และวิหารจันทราเทพเองก็ไหวตัวร้องห้ามเร็วมาก แต่สุดท้ายลูกศรก็ไม่ได้ถูกรั้งเอาไว้บนคันศรอยู่ดี
ในความงดงามมักแฝงอันตรายถึงชีวิตเอาไว้เสมอ ท่ามกลางม่านหมอกสีขาวที่ประดับเต็มไปด้วยประกายแสงสีทองระยับ ลูกศรดอกนี้ของเยี่ยหลานเป็นประหนึ่งอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญที่ทำให้น้ำในสระอันสงบงดงามบังเกิดริ้วรอย สองสาวที่ถูกม่านหมอกห้อมล้อมต่างรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด ฝูงเสือปลาและเสือเขี้ยวดาบพุ่งเข้าโจมตีจากรอบด้านทันที !
แม้วิหารจันทราเทพจะเผลอตะลึงที่ห้ามเยี่ยหลานไม่ทัน แต่ความจริงเธอเองก็ได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่วิ่งกลับมาแล้วเหมือนกัน ดังนั้นนอกจากจะใช้ม้วนคาถาธาตุความมืดอย่างฉับพลันแล้ว เธอยังซัดระเบิดแสงไปรอบด้านอีกต่างหาก จากนั้นรีบเอาโล่กลมออกมาถือในมือซ้ายขวาข้างละอัน แล้วคว้าตัวเยี่ยหลานมาคุ้มครองไว้ในอ้อมแขนทันควัน
“ตูม !”
“โฮกกกก !”
เสียงลูกศรวายุอัคคีระเบิดตามด้วยเสียงฝูงสัตว์อสูรร้องคำรามอย่างโหยหวนเนื่องจากโดนแสงสว่างจ้าของระเบิดแสงเล่นงานเข้าให้
วิหารจันทราเทพที่หลับตาปี๋รู้สึกทะแม่งๆ ยังไงชอบกล มันออกจะราบรื่นและประหลาดเกินไปเสียแล้ว ! นี่ไม่มีสัตว์อสูรบุกเข้ามาถึงตัวเธอสักตัวเลยหรือ ?
หลังจาก 60 วินาทีผ่านไป อยู่ๆ สรรพเสียงเซ็งแซ่ต่างๆ ก็เงียบหาย สองสาวที่ลืมตาขึ้นต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
รอบด้านยังคงเต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาวเบาบางอยู่เหมือนเดิม ทว่าประกายแสงสีทองระยิบระยับเมื่อครู่ได้ปลาสนาการไปสิ้น หลังจากสายลมแผ่วเบาโชยพัดมาถึงค่อยพบว่า บนพื้นมีซากศพของเสือปลาและเสือเขี้ยวดาบเกลื่อนไปหมด ส่วนพยัคฆ์เมฆายังคงมองดูพวกเธออย่างสงบอยู่ที่เดิม เหมือนกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับมันทั้งนั้นงั้นแหละ
ถึงแม้ร่างกายของมันจะยังใหญ่ยักษ์ รูปร่างก็ยังดูน่าเกรงขามอยู่เหมือนเดิม ทว่าพลังคุกคามในตอนแรกกลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เหมือนเป็นเจ้าเหมียวที่เลี้ยงไว้ในบ้านอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยหลานที่มุดออกมาจากอ้อมแขนของวิหารจันทราเทพเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างตกตะลึง
“จันทราเทพ เธอทำอะไรลงไปน่ะ ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ?!”
วิหารจันทราเทพเอานิ้วแตะปากในความหมายบอกให้เงียบ แล้วปรับจิตใจที่ตึงเครียดให้สงบลง จากนั้นหันไปคารวะพยัคฆ์เมฆาอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า
“สวัสดีค่ะ ต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่ช่วยพวกเราไว้ ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะให้พวกเราช่วยหรือเปล่าคะ ?”
ครั้นเห็นสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของวิหารจันทราเทพ เยี่ยหลานก็เผลอตาลายเห็นภาพเธอซ้อนทับกับภาพของเฉินเฟิงในทันที แม้ว่าพักนี้เฉินเฟิงมักจะเหม่อลอยกับหลายๆ เรื่องก็ตามที แต่ทุกครั้งเวลาเขาพูดกับสัตว์เลี้ยง มันก็อาการประมาณวิหารจันทราเทพในตอนนี้นี่แหละ แค่ตัดกิริยาคารวะอย่างนอบน้อมออกไปเท่านั้น
แม้เฉินเฟิงจะเคยบอกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าสัตว์เลี้ยงน่ะพูดได้ แต่เยี่ยหลานที่ไม่เคยได้ยินกับหูตัวเองรู้สึกว่ามันก็เป็นแค่นิทานปรัมปราอยู่ดี เธอพอจะเชื่อได้แค่ว่าสัตว์เลี้ยงในเกมมีลักษณะเด่นเหมือนสัตว์เลี้ยงของจริงทุกประการเท่านั้นแหละ แต่เรื่องพูดได้นี่ สติปัญญาของสมองกลที่ไม่สามารถคิดเองได้มันจะทำได้ถึงระดับไหนกัน เพราะงั้นกับเรื่องนี้เธอถึงได้ไม่รู้สึกเชื่อเลยสักนิด
พยัคฆ์เมฆาเอาแต่มองสองสาวนิ่งๆ อยู่เหมือนเดิมโดยไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ต่อคำพูดของวิหารจันทราเทพราวกับจะยืนยันความคิดของเยี่ยหลานอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาวิหารจันทราเทพหน้าแตกยับเยิน
จะมัวมาจ้องหน้ากันอยู่แบบนี้ต่อไปก็ใช่ที่ แต่จะลงมือสู้กับมันหรือก็ไม่กล้าพอ กระทั่งธนูที่เยี่ยหลานยิงออกไปเมื่อครู่ยังเล็งเป้าไปทางฝูงเสือปลากับเสือเขี้ยวดาบโน่นเลย ซึ่งตอนที่ยิงเธอก็แค่อยากจะลองดูว่าพอจะอาศัยความชุลมุนหนีออกไปจากวงต่อสู้ได้หรือเปล่าเท่านั้น ขืนให้เธอไปสู้กับสัตว์อสูรระดับ 70 ตรงๆ น่ะเรอะ แค่คิดเธอก็เข่าอ่อนแล้ว
เยี่ยหลานลองพยายามติดต่อเฉินเฟิงดูอีกครั้ง น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เธอจึงได้แต่ขัดจังหวะการมองสบตากันอย่างดูดดื่มของพยัคฆ์เมฆากับวิหารจันทราเทพโดยเตือนวิหารจันทราเทพว่า อย่าลืมสิว่าหัวหน้ากลุ่มของพวกเธอยังเป็นบุคคลหายสาบสูญอยู่เลย
วิหารจันทราเทพถอนหายใจอย่างค่อนข้างผิดหวัง แล้วทำท่าจะพูดอะไร แต่พออ้าปากแล้วก็ไม่ทราบจะพูดอะไรดี ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่า พยัคฆ์เมฆาไม่ได้มีเจตนาร้าย และแน่ละว่าจะให้สู้กับมันก็เป็นไปไม่ได้เสียด้วย สองสาวจึงพร้อมใจกันย่องจากไป
เพียงแต่...ดูเหมือนเทพแห่งโชคชะตาไม่คิดจะปล่อยให้สองสาวสบายกันเกินไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าพวกเธอจะเดินไปทางทิศไหน พยัคฆ์เมฆาก็จะเดินกึ่งลอยละล่องตามหลังไปด้วยทุกครั้งโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ 10 เมตรไม่ขาดไม่เกินพอดีเป๊ะ
ระหว่างที่สองสาวกำลังเล่นไล่จับอยู่กับพยัคฆ์เมฆา อีกด้านหนึ่ง เฉินเฟิงซึ่งถูกฆ่าในพริบตาไปก่อนหน้านี้ไม่นานก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติมา
“ผู้เล่นเฉินเฟิงเสียชีวิต !”
แม้จะไม่ทันได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่เฉินเฟิงก็ยังได้รับข้อความสุดท้ายนี้ก่อนที่จะหมดสติไปอยู่ดี
เฉินเฟิงสะบัดศีรษะแรงๆ 2-3 ครั้ง รู้สึกว่าตลอดทั้งตัวเบาหวิว หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่สติสัมปชัญญะค่อยฟื้นกลับคืนมาทั้งหมด เขาจึงตั้งสมาธิมองสำรวจไปรอบๆ
เหนือศีรษะคือม่านสีดำแผ่ไพศาลไร้ขอบเขต แต่รายละเอียดของม่านดำผืนนี้สิสุดยอดมาก เพราะมันเหมือนกับโรยไข่มุกที่สุกสกาวแวววาวลงทั่วจานสีดำสนิทอย่างไรอย่างนั้น สายลมอ่อนบางพลิ้วพัดมากระทบใบหน้า แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด มันเหมือนกับตัวเองก็เป็นอณูหนึ่งของจักรวาลนี้ ทุกอย่างช่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติเสียนี่กระไร
ที่นี่คือนรกหรือ ? ไม่ใช่สิ เพราะไม่เห็นเหมือนกับที่พวกเพื่อนๆ บรรยายเอาไว้เลย
เฉินเฟิงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนกับเคยมาที่นี่มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไปจนทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
ครั้นความรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างวาบขึ้นในใจ เฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ถึงความรู้สึกสิ้นไร้กำลังของตัวเองก่อนที่อุกกาบาตจะตกลงใส่ เขาหันไปมองหาสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัว ซึ่งแน่ละว่าผลลัพธ์คือไร้วี่แวว
ส่วนข้อความบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของระบบนั้น นอกจากสถานะของตัวเองแล้ว นอกนั้นมีแต่ตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่เขียนบอกว่าหยุดใช้งานชั่วคราว
เฉินเฟิงอดรู้สึกตัวลีบไม่ได้ เวลานี้ทิวทัศน์อันงดงามยังคงเดิม ทว่าความรู้สึกของเขาได้เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ...สายลมแผ่วพลิ้วเปลี่ยนเป็นหนาวสะท้าน ผืนม่านสีดำเปลี่ยนเป็นแสนลึกล้ำ ราวกับว่าตัวเขาได้ถูกโลกทอดทิ้งเสียแล้ว ความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยวครอบงำจิตใจ ความรู้สึกอับจนปัญญาเติมเต็มหัวใจ
ที่นี่คือนรกอย่างนั้นหรือ ? ถูกแล้ว ! ลังเล เล็กจ้อย ไร้กำลัง ไร้ทางแก้...อดีตไม่มีใครเป็น อนาคตไม่มีใครตาม ครุ่นคำนึงถึงความทุกข์ในโลกหล้า เศร้าโศกาหลั่งน้ำตาเพียงลำพัง
ขณะที่เฉินเฟิงกำลังหดหู่ถึงขีดสุดและอึดอัดเสียจนคิดอยากจะระบายออกมาให้หนักๆ นั่นเอง ทางตะวันออกก็ได้ปรากฏจุดแสงวาบขึ้น แสงนั้นสว่างเจิดจ้าเป็นสีรุ้งเลื่อมพรายราวกับเทพองค์ใดเสด็จลงมาเยือน
มีเขาดุจเขากวาง มีหูดั่งหูโค นัยน์ตากลมโตดั่งเปล่งแสงสุกใสเช่นนัยน์ตาเถาะ และดั่งโชนแสงกล้าเช่นนัยน์ตาขาล จมูกเช่นจมูกสิงห์เหยียดผงาด ปากเช่นปากลาแสยะอ้า ซี่ฟันเรียงรายดั่งฟันม้า เขี้ยวสีโรหิตโง้งงอน ลำตัวอสรพิษยาวคดเคี้ยว หางเช่นมัจฉาส่ายสะบัด หนวดเคราพลิ้วพัดตามแรงลม เกล็ดครีบสะท้อนแสงสัตรงค์ เท้าคฤธรใหญ่กำยำ กรงเล็บอินทรีคมกริบทรงพลัง...
เทพมังกรผู้มอบอาชีพเนี่ยนะ ?
“สวัสดี เราคือ PM01 จะเป็นผู้ให้บริการคุณในตอนนี้ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องประชุมกันก่อน ถึงค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการกับปัญหาเรื่องคุณอย่างไรดี เรามาช้าไปหน่อย หวังว่าคงให้อภัย !”
เสียงอันลึกลับเปี่ยมด้วยพลังดึงดูดดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เฉินเฟิงได้ยินครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ข้อสงสัยของเขาออกจะเยอะสักหน่อยล่ะนะ
มีคำกล่าวว่า “ฮ่องเต้ไม่เดือดร้อน ขันทีดันเดือดร้อน” ครั้นได้เห็นเทพมังกรผู้มอบอาชีพ เฉินเฟิงก็พอจะเดาได้เลาๆ ว่าผลลัพธ์ครั้งนี้ไม่น่าจะเลวร้ายอะไรนัก
“ปัญหาเรื่องผม ? งั้นก็หมายความว่าการตายครั้งนี้ไม่นับสินะครับ ?”
“สวัสดี เรื่องมันเป็นอย่างนี้ พอดีว่าครั้งนี้พวกเรากำลังทดลองเวทมนตร์ชนิดใหม่กันอยู่ แต่เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มทำการทดลองเป็นครั้งแรก จึงไม่ได้เชิญให้ผู้เล่นเข้าร่วมด้วยแต่อย่างใด
“ปกติการทดสอบระบบทุกระบบของเราจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนที่ 1 คือการทดสอบแบบปิดกั้น เนื่องจากเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ ของเราไม่ได้ใช้วิธีการเปลี่ยนแพทช์แบบเกมอื่นๆ การเปลี่ยนแพทช์ทั้งหมดจะเพิ่มเข้ามาในระหว่างที่เกมดำเนินไป ด้วยเหตุนี้เวลาทำการทดสอบ พวกเราจึงจะกำหนดพื้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งก็มักเลือกเขตพื้นที่ที่ปกติไม่ค่อยมีผู้เล่นย่างเหยียบเข้าไป...”
ไม่ทราบว่าเพราะอะไรครั้งนี้เจ้าหน้าที่ออกแบบเกมซึ่งปกติมักจะโผล่มาแบบรีบมารีบไปถึงได้ยอมเสียเวลาอธิบายยืดยาวตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะอธิบายจบว่าอะไรคือเขตทดลอง ที่เฉินเฟิงหลงเข้ามาคือเขตทดลองใช้เวทมนตร์ชนิดใหม่ และคะแนนทดสอบที่เขาได้มีประโยชน์อย่างไร
ถึงแม้เฉินเฟิงจะลองถามแทรกขึ้นกลางคัน 2-3 ประโยคหลังจากที่ชักรู้สึกตัวว่ามันทะแม่งๆ ยังไงชอบกล โดยกะจะตัดบท PM01 ที่วันนี้ดูจะแฮปปี้กับการพูดพล่ามเป็นพิเศษ แต่แล้วเขาก็มีอันต้องนึกเสียใจในบัดดล เพราะไม่ว่าจะถามอะไรไป PM01 ก็สามารถลากมันโยงไปพูดถึงอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิดได้เป็นคุ้งเป็นแควทุกคำถาม ส่วนเรื่องที่เฉินเฟิงกังวลสนใจที่สุดซึ่งก็คือบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขา การนับการตายครั้งนี้ และสถานการณ์ของเพื่อนสาวทั้งสอง PM01 กลับเลี่ยงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ยอมพูดถึงสักอย่าง จนเฉินเฟิงโมโหแทบคลั่ง
สุดท้ายเฉินเฟิงก็เริ่มจะเข็ด ถึงจะไม่ทราบเหตุผลก็ตามที แต่เขารู้สึกว่าดูเหมือน PM01 จะจงใจรั้งตัวเขาไว้ยังไงชอบกล ถึงได้เอาแต่เชียร์ยิกๆ ให้เขาถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่นั่นแหละ
เพื่อให้สามารถติดต่อกับสองสาวได้เร็วขึ้น เฉินเฟิงจึงเลือกที่จะหุบปากลงซะ เขาจะดูซิว่าถ้าเขาไม่พูด PM01 จะพูดคนเดียวต่อไปได้ซักกี่น้ำ เพราะถึงยังไงก่อนหน้านี้ PM01 ก็อธิบายมาโคตรจะกระจ่างแล้วว่าเขาหลงเข้ามาในเขตทดลองของพวกผู้ออกแบบเกม อย่างนั้นหากไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ น่าจะส่งตัวเขากลับไปซะทีได้แล้วสิ
แต่ครั้งนี้เฉินเฟิงดันคำนวณพลาดอีกแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แผนไม่ยอมเอ่ยปากถามของเขาจะทำให้ PM01 หุบปากลงได้จริงๆ แต่พอไม่มีหัวข้ออะไรให้พูด PM01 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะส่งเขากลับไปอยู่ดี แถมยังมีการใช้หลักนิ่งเสียตำลึงทอง แล้วเล่นเกมตาจ้องตากับเขาเสียเลยอีกต่างหาก
หลังจากนิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่ เหมือน PM01 กำลังทดสอบความอดทนของเฉินเฟิงอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากทนไปได้ 10 กว่านาที ในที่สุดความรู้สึกเคารพในตัวเทพมังกรที่เหลืออยู่แค่เศษเสี้ยวก็ปลิวหายวับ เฉินเฟิงว้ากใส่อย่างเหลืออดทันที
“งั้นตอนนี้จะส่งผมกลับไปซะทีได้หรือยังเล่า ? ผมยังมีเพื่อนอีกสองคนที่อาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่ออยู่นะ...”
การว้ากใส่ของเฉินเฟิงทำเอา PM01 ถึงกับตะลึง แต่ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวเนิบๆ แบบเดิมว่า
“โปรดอย่าได้โมโห หากคุณต้องการจะกลับไปที่เมือง อย่างนั้นเราสามารถส่งคุณกลับไปได้ในทันที แต่หากคุณต้องการจะกลับไปที่เดิมละก็ อย่างนั้นคงต้องขอให้คุณรอต่อไปอีกหน่อย
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ซึ่งเมื่อครู่เราก็ได้อธิบายให้คุณทราบไปแล้ว ปกติการทดสอบระบบทุกระบบของเราจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนที่ 1 คือการทดสอบแบบปิดกั้น เนื่องจากเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ ของเราไม่ได้ใช้วิธีการเปลี่ยนแพทช์แบบเกมอื่นๆ การเปลี่ยนแพทช์ทั้งหมดจะเพิ่มเข้ามาในระหว่างที่เกมดำเนินไป ด้วยเหตุนี้เวลาทำการทดสอบ พวกเราจึงจะกำหนดพื้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งก็มักเลือกเขตพื้นที่ที่ปกติไม่ค่อยมีผู้เล่นย่างเหยียบเข้าไป...”
“หยุดด !! ยู้ดดดดดด !!! ตรงนี้เมื่อกี้คุณบอกไปแล้วล่ะน่า ! ช่วยพูดให้มันตรงประเด็นหน่อยได้มั้ย ? ถ้าผมจะกลับไปตำแหน่งเดิมเมื่อกี้ ผมจะต้องรออีกนานแค่ไหน ? อีกอย่างเรื่องที่ผมหลงเข้ามาในเขตทดลองนี่มันไปเกี่ยวอะไรกับเพื่อนผมไม่ทราบ ?” ครั้นเฉินเฟิงได้ยิน PM01 ทำท่าจะเริ่มอธิบายอีกรอบว่าอะไรคือเขตทดลอง ก็ตกใจสุดขีดจนรีบตะโกนบอกให้หยุดทันควัน อย่าล้อเล่นน่า ! ขืนปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อล่ะก็ เขามีหวังได้รอไปอีกครึ่งชั่วโมงแน่ !
ตอนแรก PM01 ออกจะเคืองๆ อยู่เหมือนกันที่ถูกขัดคอ แต่พอได้ยินน้ำเสียงบอกความเดือดดาลมากขึ้นทุกทีของเฉินเฟิงเข้า ก็เผยอยิ้มกว้างขวาง
ครั้นเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของมังกรอันเป็นร่างแปลงของ PM01 โดยเฉพาะรอยยิ้มไม่ค่อยจะน่าไว้วางใจในตอนท้าย เฉินเฟิงก็หนาวเยือกขึ้นมาทันที
ต้องโทษที่เมื่อกี้ถูกถ่วงเวลานานเกินไปนั่นแหละ ถึงได้ทำเอาเขาลืมฐานะของ PM01 เสียสนิท ถ้าจะพูดแบบน่าเกลียดหน่อยก็คือ ขืนไปล่วงเกินคนพวกนี้เข้าล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าจะเล่นเกม “ราชาแห่งราชัน” อย่างมีความสุขได้
หลังจากทำความเข้าใจสถานภาพของตัวเองกระจ่างแล้ว เฉินเฟิงก็รีบระงับอารมณ์หุนหันพลันแล่นทันที แล้วค่อยพูดว่า
“ขออภัยครับ ผมออกจะใจร้อนไปนิด แต่เมื่อครู่คุณอธิบายเรื่องเขตทดลองจนผมเข้าใจกระจ่างไปแล้ว ที่ตอนนี้ยังส่งผมกลับไปไม่ได้นี่…หรือจะเป็นเพราะเพื่อนๆ ของผมเองก็หลงเข้าไปในเขตทดลองเหมือนกันครับ ?”
PM01 ยิ้ม “อืมม์ ใช่แล้ว ในที่สุดคุณก็เข้าใจจนได้ แต่ที่พวกเธอหลงเข้าไปคือการทดลองระยะที่ 3 ซึ่งต้องใช้เวลานานหน่อย ดังนั้นจึงได้แต่ขอให้คุณอดทนรอต่อไปอีกสักครู่”
คราวนี้เฉินเฟิงชักจะกระอักกระอ่วนละสิ เนื่องจากก่อนหน้านี้ PM01 พูดพล่ามจนน่ารำคาญมาก ดังนั้นตอนที่อีกฝ่ายอธิบายถึงการทดลองระยะที่ 3 เขาก็เลิกฟังไปนานแล้ว มาตอนนี้ที่สองสาวกำลังเผชิญดันเป็นการทดลองระยะที่ 3 เสียด้วย แถมเมื่อกี้ตอนที่ PM01 กำลังอธิบายรอบที่ 2 เขาก็ดันไปขัดคอเข้าให้อีก เฉินเฟิงอดกังวลไม่ได้ว่า ตอนนี้เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพจะกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่านะ ?
PM01 มองสีหน้าของเฉินเฟิงซึ่งเขียนบอกเอาไว้ชัดเจนว่ากำลังกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ก็ชักรู้สึกว่าตัวเองออกจะล้อเล่นแรงเกินไปเสียแล้ว และเกิดความคิดอยากจะปล่อยเฉินเฟิงกลับไปขึ้นมาอย่างทันทีทันใด แต่คนออกคำสั่งให้เขาถ่วงเวลาเฉินเฟิงเอาไว้ก่อนดันเป็นลูกพี่นี่สิ แถมตอนนี้ลูกพี่ก็กำลังเดือดจัดเสียด้วย ไอ้เขาหรือก็ไม่อยากจะหาเรื่องทำลายอนาคตของตัวเองซะด้วย
PM01 ส่ายศีรษะขนาดมหึมาไปมาช้าๆ พลางจมอยู่กับภวังค์ครุ่นคิด ส่วนเฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็เอาแต่เดินวนไปมาไม่ได้หยุด เพียงแต่การที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศย่อมจะไม่ก่อให้เกิดเสียงฝีเท้าอยู่แล้ว และแล้วบริเวณนั้นก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
ครู่ใหญ่ผ่านไป ในที่สุด PM01 ก็โพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทน
“คุณจะหยุดเดินวนสักทีได้ไหมน่ะ ? เราตาลายไปหมดแล้วนะ”
เฉินเฟิงชะงักเท้า แล้วยักไหล่ พูดอย่างจนปัญญาว่า
“ไม่งั้นจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ ? ก็พวกคุณไม่ยอมส่งผมกลับไปซะทีนี่นา งั้นคุณมีวิธีทำให้ผมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของเพื่อนผมสองคนนั้นหรือเปล่าล่ะ ?”
PM01 นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้ม “ถ้าแค่อยากจะเห็นล่ะก็ น่าจะไม่มีปัญหานะ”
พอได้ยินว่ามีหนทางปุ๊บ เฉินเฟิงก็ทำท่าจะรุกถามทันทีว่าต้องทำยังไง แต่อยู่ๆ ร่างขนาดยักษ์ของเทพมังกรฯก็พลิกม้วนตีลังกากลางอากาศ ตามด้วยเปล่งแสงสีรุ้งเจิดจ้า หลังจากแสงสว่างจางหายไป ก็ปรากฏเป็นหญิงสาวสวมชุดจอมเวทสีเขียวปนดำ บนชุดเต็มไปด้วยลวดลายประหลาดเป็นภาพโทเท็ม[1]ที่ดูคล้ายกับยันต์
เฉินเฟิงตะลึง ชุดแบบนี้ดูคุ้นตาชอบกล หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้นอย่างตกใจ
“เอ็ทนา !”
เอ็ทนายิ้ม “ความจำดีนี่นา นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังจำฉันได้ !”
เฉินเฟิงค้อนขวับจนตาคว่ำทันที ต่อให้เปลี่ยนจากเขาเป็นคนอื่นก็เถอะ ใครมันจะไปลืมมนุษย์คนแรกที่ได้เจอหลังจากที่ต้องเดินผ่านเส้นทางแห่งการทดสอบอันโดดเดี่ยวเดียวดายมานานตั้ง 15 ชั่วโมงได้ลงบ้างล่ะ ? อย่าว่าแต่ถึงแม้ตอนอยู่ที่วิหารเวทมนตร์ เวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันจะสั้นมากก็ตาม แต่เฉินเฟิงก็ได้ลิ้มรสนิสัยชอบพูดจ้อกับอารมณ์ตลกร้ายของเอ็ทนามาแล้วอยู่ดี
เอ็ทนาพูดต่อว่า “เอาน่า ไม่หัวเราะก็ได้ เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ จำได้ไหมว่าคุณยังมีคะแนนรางวัลจากการค้นพบจุดบกพร่องในการออกแบบของวิหารเวทมนตร์ซึ่งคุณยังไม่ได้ใช้อยู่ ?”
เฉินเฟิงพยักหน้า “ก็จำได้อยู่หรอก แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมอยากจะเห็นสถานการณ์ของพวกเพื่อนๆ ผมหรือครับ ?”
“เพราะฉันต้องใช้คะแนนรางวัลนั้นมาแลก ถึงจะสามารถมอบ ‘เวทกระจกเงา’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่เหมาะจะใช้ในการนี้ให้คุณได้น่ะสิ” เอ็ทนาอธิบาย “เดิมทีเวทมนตร์บทนี้เป็นของรางวัลที่ต้องสะสมไอเท็มและปฏิบัติภารกิจตามเงื่อนไขมาแลกเอา ดังนั้นคุณสมบัติจึงสอดคล้องกับเงื่อนไขในการแลกคะแนนรางวัลพอดี แต่ขอชี้แจงให้ชัดเจนก่อนนะว่า มันมีประสิทธิภาพในการใช้ตรวจดูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเลื่อนระดับขึ้นไปกี่ระดับ ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการโจมตีใดๆ ทั้งสิ้น เป็นไอเท็มประเภทไอเท็มเวทมนตร์ชนิดพิเศษ ระดับที่ 4 วิธีการใช้เองก็มีข้อจำกัดอยู่มาก คุณจะลองคิดดูก่อนสักครู่แล้วค่อยตอบฉันก็ได้ค่ะ เพราะยังไงคะแนนรางวัลก็ไม่ใช่ว่าจะได้มากันง่ายๆ”
เฉินเฟิงตอบรับจะเอาทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด เพราะถึงยังไงคะแนนรางวัลทิ้งเอาไว้เฉยๆ ก็เท่านั้น อย่าว่าแต่ฟังที่เอ็ทนาอธิบายแล้ว “เวทกระจกเงา” ที่ใช้ในการตรวจดูนี่ก็ท่าทางไม่ใช่ว่าจะได้มากันง่ายๆ เสียด้วย
เอ็ทนาหยิบตำราเวทมนตร์เล่มหนึ่งให้เฉินเฟิง และบอกให้เขาลองอ่านคำอธิบายการใช้เวทมนตร์ดูก่อน จากนั้นขอตัวจากไปจัดการเรื่องแลกคะแนนรางวัลนี่สักครู่
ก่อนจะจากไป เห็นได้ชัดว่าเอ็ทนาดูจะอารมณ์ดีเอามากๆ ทว่าเฉินเฟิงดันเหลือบไปเห็นอีกฉากเข้านี่สิ…
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บอกความหมายคล้ายๆ “หลงกลฉันเข้าแล้ว !” ที่ปรากฏอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเอ็ทนา ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เขายอมแลกเวทมนตร์บทนี้กับคะแนนรางวัลเป็นแผนการซึ่งเธอวางเอาไว้แต่แรกแล้วอย่างนั้นล่ะ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอยอมเปลืองแรงทำถึงขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกันหว่า ?
แน่นอนว่าถึงจะพบว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ ชอบกล คนมองโลกในแง่ดีอย่างเฉินเฟิงก็คิดอยู่นั่นเองว่าถึงยังไงเขาก็ต้องการจะใช้เวทมนตร์บทนี้จริงๆ ล่ะนะ จากนั้นก็เลิกพยายามคาดเดาให้เสียเวลา
พลิกเปิดดูหน้าคำอธิบายโดยสังเขปซึ่งเป็นหน้าแรกสุดของตำราเวทกระจกเงา ในนั้นเขียนไว้ว่า นี่คือเวทมนตร์กระจกที่ใช้แล้วเห็นผลทันที สามารถใช้กับสัตว์เลี้ยง ผู้เล่น และแร่บางชนิดได้ ระยะเวลาที่มีผลจะแตกต่างกันไป โดยมีทั้ง 30 นาที 60 นาที และ 120 นาที ซึ่งเวลาในการมีผลอาจจะยืดออกไปได้ตามระดับที่สูงขึ้น
หากใช้เวทมนตร์นี้กับสัตว์เลี้ยงและผู้เล่น จะมีข้อจำกัดด้านระยะห่าง และหากผู้ที่ถูกใช้เวทมนตร์นี้เป็นผู้เล่น ผู้เล่นคนนั้นมีสิทธิ์เลือกที่จะรับหรือไม่รับเวทมนตร์นี้ได้
สุดท้าย แร่ที่สามารถร่ายเวทมนตร์นี้ใส่ได้ มีเพียงแร่แก้วผลึกและผลึกเวทมนตร์ธาตุพิเศษเท่านั้น แถมหลังจากร่ายเวทมนตร์สร้างขึ้นเสร็จแล้ว ยังจำกัดจำนวนครั้งในการใช้อีกต่างหาก
ด้านล่างสุดของคำอธิบายคือรายการภารกิจและไอเท็มที่จำเป็นต้องใช้ในการแลกตำราเวทมนตร์เล่มนี้ซึ่งยาวเหยียดยิ่งกว่าหางว่าว
เฉินเฟิงลองนับดูคร่าวๆ ก็พบว่าตำราเวทมนตร์เล่มนี้ไม่ใช่กระจอกๆ เลยจริงๆ เพราะไอเท็มตามเงื่อนไขมีตั้งร้อยกว่าอย่าง แถมพอลองดูไอเท็มบางอย่างในรายการแล้ว ขนของพญาครุฑงี้ เศษกระดองมังกรงี้ ลูกตาค้างคาวดูดเลือดงี้ ไม่ใช่ไอเท็มที่จะได้มาได้ง่ายๆ ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย
เมื่อได้เห็นข้อมูลพวกนี้ เฉินเฟิงก็รีบงัดสมุดออกมาลอกยิกๆ ทันที
หลังจากที่ได้รับการชี้แนะจากครุโฬ หลายวันมานี้เฉินเฟิงก็ได้ให้ความสำคัญกับนิสัยชอบเก็บรวบรวมข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม เพราะในโลกของเกม “ราชาแห่งราชัน” ข้อมูลมีความสำคัญมากพอที่จะกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวเลยทีเดียว
หลังจากยุ่งกับการลอกข้อมูลอยู่เป็นนานจนเสร็จ ก็ยังไม่เห็นเอ็ทนากลับมา เรื่องที่เฉินเฟิงกำลังกลุ้มใจในตอนนี้คือ เวทมนตร์นี้มันเรียนยังไงกันเล่า ?
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่วิหารเวทมนตร์ พอเปิดตำราเวทมนตร์ปุ๊บ ก็เรียนรู้ได้หมดโดยอัตโนมัติ แต่มาคราวนี้นอกจากคำอธิบายในหน้าแรกแล้ว หน้าอื่นๆ ที่เหลือกระทั่งจะพลิกเปิดดูก็ยังทำไม่ได้เลย
แล้วเฉินเฟิงก็นึกถึงสีหน้าก่อนจากไปของเอ็ทนาขึ้นได้ หรือเขาจะหลงกลเข้าให้ซะแล้วจริงๆ ? ยิ่งคิดก็ยิ่งทะแม่งชะมัด แต่ต่อให้นึกสงสัยก็เถอะ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนอกจากรอ
เฉินเฟิงทดลองดูอีกหลายครั้ง ไอเท็มและช่องสื่อสารก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดี แล้วเฉินเฟิงผู้อับจนหนทางก็เริ่มเดิมวนไปมาอีกระลอก
เอ็ทนาแอบปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ อย่างกะทันหัน ทำเอาเฉินเฟิงที่เพิ่งจะเดินวนไปได้แค่ครึ่งรอบถึงกับสะดุ้งโหยง แถมที่น่าโมโหคือ ดูจากสีหน้าของเอ็ทนาก็ทราบแล้วว่านี่เป็นอารมณ์ขันแบบร้ายกาจของเธออีกแล้ว
ก่อนที่ขวัญของเฉินเฟิงจะทันได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวและแหกปากโวยวายใส่ เอ็ทนาก็ชิงพูดขึ้นยิ้มๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาทันควัน
“ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ปล่อยให้คุณต้องรอนานค่ะ ตกลงไม่ทราบว่าคุณตัดสินใจยังไงคะ ? หากยังตกลงที่จะเรียนเวทกระจกเงาอยู่ล่ะก็ พวกเราก็เริ่มเรียนกันได้เลยค่ะ สุดท้ายจะขอเตือนคุณว่า ถ้าแลกของรางวัลไปแล้ว จะมาขอแลกกลับทีหลังไม่ได้นะคะ !”
เฉินเฟิงที่รอจนเซ็งแทบบ้าจำต้องยอมโดนแกล้งโดยไม่กล้าตอบโต้โดยดุษณี แล้วตัวเขาซึ่งไม่มีกะจิตกะใจจะเอาเรื่องเอ็ทนาก็ทำตามที่เธอแนะนำจนเรียนรู้เวทกระจกเงาสำเร็จอย่างราบรื่นในที่สุด
ปรากฏว่าการเรียนเวทมนตร์ระดับ 4 ขึ้นไปนั้นจำเป็นต้องไปเรียนที่วิหารเวทมนตร์ เพราะนอกจากตำราเวทมนตร์แล้ว ที่สำคัญยังต้องมีหนังสือขนาดยักษ์บนแท่นบวงสรวงของวิหารเวทมนตร์เล่มนั้นด้วย เมื่อกี้นี้เอ็ทนาได้ไปขออนุญาตจากระดับสูงเพื่อให้เฉินเฟิงได้รับการละเว้นกฎในครั้งนี้นั่นเอง
หลังจากเรียนเวทมนตร์เสร็จ เฉินเฟิงก็สงสัยอีกแล้ว
จากวิธีใช้ที่เขียนเอาไว้ในคำอธิบาย ถ้าเขาใช้เวทมนตร์นี้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนจะเกิดเรื่องสิถึงจะสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพได้ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ใช้เวทมนตร์นี้กับสองคนนั้นไม่ได้เลย กระทั่งจะเข้าไปใกล้สองคนนั้นก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ งั้นเขาจะอุตส่าห์ยอมวุ่นวายเพื่อไอ้เวทมนตร์บ้านี่ตั้งเป็นนานสองนานไปทำซากอะไรกันล่ะเนี่ย ?
“จริงด้วย !” เอ็ทนาตกใจ “ฉันดันคิดแค่ว่าใช้เวทกระจกเงาไปสำรวจดูได้ แต่กลับลืมคิดถึงปัญหาเรื่องการใช้เวทมนตร์นี้ซะสนิทเลย !”
ถึงแม้สีหน้าของเอ็ทนาจะแสดงออกอย่างแนบเนียนไร้ที่ติว่ากำลังโกรธตัวเองก็เถอะ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรเฉินเฟิงดันรู้สึกว่าเธอกำลังเล่นละครอยู่ชัดๆ !
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และได้แต่ผสมโรงร่วมแสดงไปกับเธอจนถึงที่สุด โดยทำเป็นพูดกึ่งตีโพยตีพายยืนกรานให้เอ็ทนารับผิดชอบให้ถึงที่สุด
เอ็ทนาแกล้งทำท่าลำบากใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพูดว่า
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกันค่ะ คุณยังมีรางวัลคะแนนทดสอบอีกคะแนนที่ยังไม่ได้แลกอะไรไม่ใช่หรือ ? ฉันจะลองไปปรึกษาลูกพี่ดูว่าจะขอแลกกับแร่ประเภทแก้วผลึกได้หรือเปล่า จากนั้นฉันจะเป็นคนช่วยเอามันไปให้เพื่อนๆ ของคุณเอง วิธีนี้น่าจะทำได้นะ ไม่ทราบว่าคุณยินยอมหรือเปล่าคะ ?”
‘หางจิ้งจอกโผล่ออกมาจนได้’ เฉินเฟิงคิดในใจ สุดท้ายอีกฝ่ายก็คิดจะหักคอเอาของไปจากเขาเพิ่มจริงๆ ด้วย โชคดีที่ของที่จะเอาเป็นแค่คะแนนรางวัลพิลึกๆ นั่นเท่านั้น
ถึงยังไงเขาก็จมลงไปตั้งครึ่งตัวแล้ว ไม่ว่ากลุ่มผู้ออกแบบเกมราชาฯจะวางแผนอะไรเอาไว้ก็เถอะ เขาก็ได้แต่ยอมทำไปตามแผนนั้นโดยไม่มีทางเลือกอยู่ดี