หัวข้อ : เล่มที่ 6 รวมสมาพันธ์เฟิงเป็นหนึ่ง ตอนที่ 4 ขโมย

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:10

ตอนที่ 4

 

ขโมย

 

 

“เนินจมูกสิงห์” ได้ชื่อร่วมกับ “บึงกักมังกร” ว่าเป็นสองสถานที่อันลึกลับที่สุดแห่งเกม “ราชาแห่งราชัน”

เล่าลือกันว่าหากโชคดี ที่นั่นก็จะกลายเป็นแดนมหัศจรรย์ที่จะทำให้รวยล้นฟ้าได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าโชคไม่ดีละก็...สามารถใช้คำว่า “นรกโลกันตร์” มาบรรยายได้เลย

วันนี้เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพดูจะจัดอยู่ในจำพวกโคตรจะโชคดี...

นับแต่ข้ามผ่านศิลาสะบั้นมังกรเป็นต้นมา แม้จะมีอันต้องแยกกับเฉินเฟิง แถมยังถูกกองทัพของพยัคฆ์เมฆาทำเอาขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอพยัคฆ์เมฆาได้กลายมาเป็นผู้คุ้มกันของพวกเธอแบบงงๆ แล้ว สองสาวก็ไม่ต้องใช้ยาฟื้นพลังอีกเลยแม้แต่ครึ่งขวด ตลอดทางพวกเธอแค่ยิงธนูออกไปฟิ้วๆ ค่าประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นพรวดๆ แล้ว แถมยังมีไอเท็มกับเงินให้เก็บกันไม่หวาดไม่ไหวอีกต่างหาก

เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่เฉินเฟิงถูกวางแผนหลอกให้แลกคะแนนรางวัลทั้งสองคะแนนไปนั้น สองสาวที่เดิมทีกำลังเล่นไล่จับอยู่กับพยัคฆ์เมฆาก็เจอะเข้ากับอมนุษย์หน้าวัวทีเดียว 3 ฝูง

อมนุษย์หน้าวัวมีระดับ 37-38 มีศีรษะเป็นศีรษะวัวขนาดใหญ่ ตัวสูงหนึ่งเมตรครึ่ง มือถือขวานขนาดยักษ์ที่สามารถฟันหินแยกเป็นเสี่ยงๆ ได้ มักจะปรากฏตัวเป็นฝูงฝูงละ 5-6 ตน และได้ฉายาว่าอันธพาลแห่งทุ่งหญ้า ปกติแค่เจอเข้าฝูงเดียว สองสาวก็รับมือไม่ไหวแล้ว อย่าว่าแต่โผล่มาทีเดียว 3 ฝูงเลย แถมทั้งสองยังเหลือยาฟื้นพลังอยู่แค่กระจึ๋งหนึ่งอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้แค่แป๊บเดียวสองสาวก็ถูกล้อมโจมตีจนร่อแร่เสียแล้ว

ไม่คาดว่าขณะที่กำลังจะตัดใจใช้ม้วนคาถากลับบ้านนั่นเอง อยู่ๆ พยัคฆ์เมฆาที่รักษาระยะห่างกับสองสาวมาตลอดทางก็แผดเสียงคำรามดังกึกก้องจนแผ่นดินสะเทือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นสองสาวก็มีอันตกตะลึงตาค้างเมื่อพบว่าอมนุษย์หน้าวัวทั้งหมดพากันตัวแข็งทื่อ และปล่อยให้เธอสองคนรุมทุบตีตามสบายโดยไม่มีการขยับตัวขัดขืน จนกระทั่งทยอยกันกลายเป็นลำแสงสีขาวสลายไป

เมื่อมีผู้คุ้มกันที่โคตรจะแข็งแกร่งอย่างพยัคฆ์เมฆา แน่ละว่าสองสาวย่อมจะกวาดพิฆาตทั่วทั้งเนินจมูกสิงห์ เรื่องเดียวที่น่าเสียดายคือขนาดควานหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบเฉินเฟิงอยู่ดี

เนื่องจากเฉินเฟิงไม่ได้ตาย สองสาวจะอยู่รอต่อไปก็ดูจะไม่ค่อยเข้าทีนัก สุดท้ายจึงได้แต่จับคู่กันบุกไปยังสถานที่อันเป็นเป้าหมาย...แดนศักสิทธิ์แห่งการเข้าเป็นนักบวช “เจดีย์ยักษ์สีขาว”

สองสาวมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยระหว่างทางก็ได้ฆ่าสัตว์อสูรระดับสูงตายไปเกือบร้อยตัวอย่างสบายๆ ด้วยความช่วยเหลือจากเสียงคำรามของพยัคฆ์เมฆา จนกระทั่งหาถ้ำอาคเนย์[1]ที่อะไรก็ได้ได้บอกไว้พบ

แต่ทว่าเมื่อมาถึงปากถ้ำ สองสาวก็ต้องพบกับอุปสรรคเข้าให้จนได้ ควรทราบว่าที่สองสาวสามารถบุกฝ่ามาจนถึงที่นี่ได้นั้น กล่าวได้ว่าอาศัยเจ้าเหมียวยักษ์ข้างหลังตัวนั้นทั้งสิ้น และที่ตอนนี้เข้าไปในถ้ำกันไม่ได้ ก็เป็นเพราะมันอีกเหมือนกัน

ปากทางเข้าถ้ำอาคเนย์มีความสูง 2 เมตร ซึ่งสำหรับผู้เล่นธรรมดาทั่วไปก็พูดได้ว่าใหญ่เกินพออยู่หรอก แต่สำหรับพยัคฆ์เมฆาที่แค่ส่วนสูงก็ปาเข้าไปตั้ง 3 เมตรแล้วนี่ ยังไงก็ไม่มีทางมุดเข้าไปได้แน่ๆ เว้นแต่ว่าตัวมันจะหดลงเหลือครึ่งเดียวได้ หรือระเบิดปากถ้ำให้ใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว

ตอนแรกสองสาวกะจะกัดฟันยอมตัดใจทิ้งเจ้าเหมียวยักษ์ผู้คุ้มกันที่โคตรจะแข็งแกร่งตัวนี้ไปซะ แต่ทว่าเพิ่งจะเข้าไปในถ้ำได้แค่ไม่กี่เมตร พวกเธอก็มีอันถูกผีดิบดูดเลือดฝูงใหญ่บีบให้ต้องลนลานถอยร่นออกมาเสียแล้ว

โชคดีที่พอออกมาจากถ้ำแล้ว พยัคฆ์เมฆายังอยู่ที่เดิม จึงได้อาศัยทักษะพิเศษเสียงคำรามของมันทำให้ผีดิบกลายสภาพเป็นยาวิเศษสำหรับเพิ่มระดับไปเสียเลย

เพียงแต่สิ่งที่สองสาวกำลังต้องการในตอนนี้ไม่ใช่ยาวิเศษสำหรับเพิ่มระดับนี่สิ

ข้างหน้ายังขาดระยะทางอีกแค่นิดเดียวก็จะไปถึงจุดหมายแล้วแท้ๆ แต่อาศัยการจับคู่ของพวกเธอสองคนในเวลานี้ มันไม่มีทางจะผ่านระยะทางสุดท้ายนี้ไปได้เลย เว้นแต่ว่าพวกผีดิบในถ้ำจะกลายเป็นกระดาษบุหน้าต่างที่แค่เอานิ้วจิ้มจึ๋งเดียวก็ขาดใจตาย[2]ไปจนหมดโน่นแหละ

เยี่ยหลานพูดอย่างท้อแท้ “จันทราเทพ เธอว่าเราจะทำยังไงกันดี ? ถ้าตอนนี้พี่เฟิงอยู่ด้วยก็ดีสิ ถ้ามีอเล็กซ์กับอู้คงอยู่ด้วยล่ะก็ พวกเราคงบุกเข้าไปได้แบบไม่มีปัญหาแน่ !”

“ยังติดต่อเฉินเฟิงไม่ได้อีกหรือ ?” วิหารจันทราเทพถาม “แปลกจริง ถึงทุกครั้งเขามักจะทำอะไรให้ใครๆ ประหลาดใจก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะหายสาบสูญไปนานขนาดนี้นี่นา ?”

เมื่อพูดถึงเรื่องที่เฉินเฟิงหายสาบสูญ เยี่ยหลานก็กล่าวอย่างเป็นกังวล

“เขาคงไม่ได้กำลังตกอยู่ในอันตรายหรอกนะ ? บางที...พวกเราน่าจะกลับไปที่จุดที่เขาหายตัวไป เพราะไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังต้องการให้พวกเราไปช่วยอยู่ก็ได้ !”

วิหารจันทราเทพยิ้มทันที “ดูท่าหลานจะเป็นห่วงเขามากจริงๆ นะเนี่ย ! ตกอยู่ในอันตรายงั้นหรือ ? อย่าลืมสิว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในเกมกันนะ อย่างมากก็แค่ตายแล้วระดับลดลงเท่านั้นแหละ ไม่มีอันตรายอะไรหรอกน่า ! อย่าว่าแต่เมื่อกี้พวกเราก็เพิ่งจะควานหากันมาตั้งกว่าครึ่งชั่วโมงเอง จะเหลือก็แค่ไม่ได้พลิกพื้นหญ้าขึ้นมาหาเท่านั้น หรือว่า...ที่เขาลือกันเรื่องเธอสองคนจะเป็นความจริงกันน้อ ? จะให้ฉันช่วยไหมล่ะจ้ะ ?”

เยี่ยหลานค้อนวิหารจันทราเทพวงใหญ่ แล้วโวยว่า

“นี่ ! กระทั่งจันทราเทพก็พลอยแกล้งล้อฉันด้วยเหรอ ? ก็บอกแล้วว่าพวกนั้นว่างจัดกันทั้งนั้น ถึงได้เที่ยวซี้ซั้วปล่อยข่าวลือแบบนี้...ฉันแค่อดนึกเสียดายไม่ได้ ก็อุตส่าห์มาจนถึงที่นี่กันแล้วแท้ๆ...แล้วเธอเองยังมีหน้ามาแซวฉันอีกนะ ตอนที่โดนซวงเว่ยพาหนีน่ะ ไม่ทราบว่าใครกันคะที่กล้าโดดลงจากหลังม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ? ยังมี ไม่รู้ใครกันเนอะที่เอาแต่ถามถึงว่าเฉินเฟิงหายไปไหนน้าทุกห้านาทีน่ะ ?”

วิหารจันทราเทพที่ถูกโจมตีกลับอ้ำอึ้งเถียงไม่ออก ได้แต่ถอนใจยกมือยอมแพ้

“เอาน่า...เอาน่า...ไม่ล้อแล้วน่า ความจริงจะว่าไปก็แปลกดีนะ ปกติฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่เวลาไปผจญภัยกับเฉินเฟิงทีไร ฉันเป็นรู้สึกว่าโลกของเกมราชาฯไม่ได้เป็นแค่เกม แต่เป็นโลกของจริงทุกทีสิน่า...ฮึฮึ พอเรื่องมันผ่านไปแล้วฉันละมักจะรู้สึกว่ามันน่าขำชะมัด แล้วถึงจะเตือนตัวเองไปตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ลืมตัวเข้าจนได้ทุกทีสิน่า เฉินเฟิงนี่เป็นคนที่พิเศษจริงๆ เลยนะ !”

เยี่ยหลานพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ! เขาเป็นคนที่พิเศษมากจริงๆ น่ะแหละ เพื่อนทุกคนที่ได้รู้จักกับเขาคิดแบบนี้กันทั้งนั้น แต่หลังจากที่สมาพันธ์เฟิงก่อตั้งขึ้น การที่เขาเอาจริงเอาจังไปซะทุกเรื่องแบบนี้ทำเอาฉันรู้สึกไม่สบายใจไปพักใหญ่เหมือนกัน จันทราเทพ เธอรู้จักเขาได้ยังไงหรือ ?”

“อ้าว ! หลานไม่ได้ตั้งใจฟังที่ฉันพูดนี่นา” วิหารจันทราเทพแกล้งพูด “เมื่อกี้ก็บอกเธอแล้วนี่ว่าตอนกลางวันน่ะฉันรับจ๊อบทำงานอยู่ที่อาคารเริ่มต้น”

เยี่ยหลานตะลึง “หรือว่า...เธอเป็นคนต้อนรับเขาตอนที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นมือใหม่วันแรก ?”

“ถูกต้องแล้วจ้า ! เธอคิดดูสิ มือใหม่ระดับ 30 จะให้ฉันไม่สังเกตเห็นน่ะยากออกจะตายใช่ไหมล่ะ !”

“ก็ใช่ล่ะนะ...จริงสิ เมื่อกี้เธอบอกว่า เขาน่าจะได้รับภารกิจอะไรบางอย่างเข้า ถึงได้ไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว งั้นจากที่เธอรู้นี่ ภารกิจที่ใช้เวลานานที่สุดจะทำให้หายสาบสูญไปนานแค่ไหนหรือ ?”

วิหารจันทราเทพยักไหล่ “ไม่รู้สิ ! ภารกิจในเกมราชาฯน่ะพันเปลี่ยนหมื่นแปร แถมยังได้ยินมาว่ามีภารกิจใหม่ๆ ออกมาทุกวันด้วยสิ จากที่จำได้นี่...มันมีภารกิจที่จะทำให้หายสาบสูญไปนานกว่า 10 ชั่วโมงด้วยนะ ส่วนภารกิจที่ใช้เวลานานที่สุดต้องใช้เวลาเท่าไรนี่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่าลืมสิว่าฉันเป็นแค่แอนนี่ที่ไม่ค่อยจะสลักสำคัญเท่านั้นนะ !”

เยี่ยหลานอุทานเสียงหลง “ตายแล้ว...นานกว่า 10 ชั่วโมง ! แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี ? หรือต้องตัดใจกลับเมืองกันซะแล้ว ?”

ยังจะทำอะไรได้ เพราะถึงยังไงจะให้รออยู่ที่นี่เฉยๆ ก็ไม่ไหวอยู่ดี ดังนั้นสองสาวได้แต่พึ่งตัวเองสถานเดียว

น่าเสียดายที่หลังจากหารือกันอยู่พักใหญ่ และคิดสารพัดวิธีมาลองทำดู ผลลัพธ์กลับไม่ค่อยจะเป็นดังที่หวังนัก

เยี่ยหลานเสนอให้ใช้วิธีเก่า โดยกะจะล่อสัตว์อสูรที่เฝ้าถ้ำออกมาหาที่ตายให้หมด ซึ่งผีดิบระลอกแรกก็ให้ความร่วมมือดีมาก เพราะพอเห็นสองสาวเข้าไปในถ้ำปุ๊บ พวกมันก็ไล่กวดตามออกมานอกถ้ำปั๊บ แล้วสองสาวก็จัดการเก็บกวาดผีดิบระลอกนี้จนหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นานด้วยความช่วยเหลือของพยัคฆ์เมฆา

วิธีนี้ทำให้สองสาวเริ่มมองเห็นความหวังและชักจะกระตือรือร้นขึ้นมาหน่อย แต่น่าเสียดายที่สองสาวดีใจกันเร็วเกินไปเสียแล้ว เพราะครู่ต่อมาวิธีนี้ก็เริ่มใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากหลังจากผ่านไป 2 โค้ง ก็เจอเข้ากับค้างคาวดูดเลือดซึ่งเป็นสัตว์อสูรชุดที่ 2 พวกมันไล่ตามมาแค่โค้งเดียวก็พากันแตกฮือล่าถอยกลับไป ให้ตายก็ไม่ยอมล้ำออกมาเกินกว่านั้นแม้แต่เมตรเดียว ไม่ว่าจะพยายามล่อยังไงก็ล่อพวกมันออกมาจากถ้ำไม่ได้เลย

เมื่อวิธีของเยี่ยหลานใช้การไม่ได้เสียแล้ว ก็ถึงคราววิหารจันทราเทพคิดหาทางฝันหวานบ้าง โดยกะจะใช้ระเบิดแสงช่วยลุยไปตลอดทาง

และก็เป็นแบบเดียวกับเยี่ยหลาน นั่นคือผีดิบชุดแรกให้ความร่วมมือดีมาก โดยพอซัดระเบิดแสงออกไปปุ๊บ พวกมันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนดังระงมไปทั้งถ้ำ ค้างคาวดูดเลือดสัตว์อสูรชุดที่ 2 เองก็ให้ความร่วมมือดีมากเช่นกัน พอแสงสว่างจ้าวาบขึ้นปุ๊บ พวกมันก็พากันเกาะเพดานถ้ำแน่นไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย

แต่เมื่อก้าวลึกไปถึงโค้งที่ 4 ของถ้ำ และพบกับโกเลม[3] สัตว์อสูรชุดที่ 3 เข้า วิธีนี้ก็ไร้ผลเสียแล้ว เพราะโกเลมไม่มีดวงตา แสงสว่างจ้าจึงไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อมันทั้งสิ้น ทำเอาสองสาวผู้ตื่นตะลึงมือไม้ปั่นป่วนกันไปพักใหญ่

สุดท้ายเมื่อสู้ไม่ได้ก็มีแต่ต้องถอย แล้วตอนถอยยังดันเคราะห์ซ้ำด้ำพลอยไปเจอเข้ากับฝูงค้างคาวดูดเลือดที่เพิ่งจะฟื้นคืนเป็นปกติเข้าให้เสียด้วย ทำเอาสองสาวต้องใช้ยาฟื้นพลังที่เหลือไปจนหมดเกลี้ยงกว่าจะหนีออกมานอกถ้ำได้อย่างทุลักทุเล

อุตส่าห์วุ่นวายพยายามเป็นนานสองนาน สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่เดิมอีกแล้ว สองสาวซึ่งเหนื่อยแทบขาดใจพากันนอนแผ่หราที่หน้าถ้ำโดยพูดอะไรไม่ออก

แล้วเยี่ยหลานจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อนด้วยการพูดอย่างหมดแรงว่า

“น่าโมโหเป็นบ้า ! อุตส่าห์มาถึงที่นี่ได้แล้วแท้ๆ เห็นๆ อยู่ว่าเหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น มาตอนนี้ดันทำได้แค่รอกันอยู่ตรงนี้ซะได้…โอ๊ย ! นี่ถ้าพี่เฟิงอยู่ด้วย เธอว่าเขาจะทำยังไงน่ะ ?”

“จะทำยังไงน่ะเหรอ ? ถ้าเขาอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ ! เพราะแค่อเล็กซ์ตัวเดียวก็เก่งกว่าเราสองคนรวมกันแล้วนี่ ฉันละอยากจะได้สัตว์เลี้ยงเก่งๆ อย่างนั้นบ้างจริงๆ ! เขามีตั้งสองตัว แบ่งให้ฉันแค่ตัวเดียวก็พอแล้ว เอาแค่อู้คงก็ยังดี” วิหารจันทราเทพว่า

เยี่ยหลานหัวเราะ “เอ๋ ? แต่ฉันได้ยินมาว่าอู้คงน่ะเธอกับเพื่อนอีกคนแล้วก็พี่เฟิงช่วยกันจับมาได้ไม่ใช่เหรอ ? รู้สึกว่าตอนแรกเขากะจะยกให้พวกเธอฟรีๆ ด้วยนี่ แต่หัวเด็ดตีนขาดพวกเธอก็ไม่ยอมเอาไม่ใช่หรอกหรือ ?”

“โฮ่ ! ข่าวกรองของเธอไม่ใช่เล่นเลยนี่ ที่ว่ามามันก็ใช่อยู่หรอก…แต่อู้คงในตอนนั้นน่ะไม่ได้เชื่องแบบนี้หรอกนะ แถมยังจะซี้ซั้วกัดคนอีกต่างหาก ! ฉันมีเพื่อนอีกคนที่ชอบแส้เทพสีหราชฯมาก ก็เลยอุตส่าห์ไปจับวานรขนทองมาตัว กลายเป็นว่าขนาดขู่มันเอาเป็นเอาตายอยู่ตั้ง 10 กว่าวันจนแทบจะเป็นบ้าเสียเองก็ยังกำราบมันไม่ได้เลย สัตว์เลี้ยงน่ะต้องเป็นแบบเจ้าเหมียวข้างหลังเราโน่น คือนอกจากจะเก่งแล้ว ยังต้องเชื่อฟังเราด้วย มันถึงจะมีประโยชน์นะ !”

พอพูดถึงพยัคฆ์เมฆา เยี่ยหลานก็หันกลับไปดูมัน แล้วโพล่งขึ้นว่า

“แปลกจัง ! จันทราเทพดูนั่นสิ ทำไมที่คอมันถึงมีสร้อยโผล่มาได้ล่ะ ? เมื่อกี้ยังไม่เห็นจะมีเลยนี่”

“สร้อยอะไรหรือ ?” ครั้นได้ยินที่เยี่ยหลานถาม วิหารจันทราเทพจึงพลอยหันไปมองพยัคฆ์เมฆาบ้าง

พยัคฆ์เมฆายังคงอยู่ห่างจากสองสาว 10 กว่าเมตรเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรทำนานเกินไป มันก็เลยลงนอนหมอบอาบแสงจันทร์เล่นอย่างเกียจคร้าน ครั้นเห็นสองสาวพากันจ้องมองมัน มันก็จ้องตอบ แต่พอเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันก็เลียตกแต่งขนอยู่ครู่ แล้วอาบแสงจันทร์ต่อไป

สร้อยที่สองสาวพูดถึงห้อยอยู่ที่คอของมันนั่นเอง

จี้คริสตัลใสกระจ่างวาววับทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดโตขนาดกำปั้นเปล่งประกายลึกลับยามแสงจันทร์สีขาวสะอาดสาดกระทบ ตัวจี้เลี่ยมขอบด้วยโลหะสีเงินอย่างเรียบง่ายดูหรูหราและล้ำค่า ส่วนตัวสร้อยเป็นเส้นไหมโปร่งแสง

อาจเป็นเพราะธรรมชาติของผู้หญิงมักไม่ค่อยมีภูมิต้านทานต่ออัญมณีอยู่แล้ว เหมือนที่เผ่ามังกรอันยิ่งใหญ่มักจะถูกโลหะที่มีประกายแวววาวดึงดูด ดังนั้นถึงแม้จี้นี้จะแขวนอยู่ที่คอของพยัคฆ์เมฆาก็ตาม ทว่าขนสีขาวล้วนของมันดั่งจะช่วยขับเน้นความเลอค่าของอัญมณีจนทำให้สองสาวไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็นได้เลย

“สวยจริงๆ !” เยี่ยหลานทอดถอนใจเอ่ยชมพลางคิดจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่ ถ้าไม่เพราะวิหารจันทราเทพหันมาเห็นเข้าและรั้งตัวเธอเอาไว้ล่ะก็ ตอนนี้เธอมีหวังเดินไปถึงใต้ปากพยัคฆ์เมฆาโน่นแล้ว

วิหารจันทราเทพเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาอีกครั้ง และพูดขึ้นว่า

“หลาน เธอบอกว่าอยู่ๆ เฉินเฟิงก็หายตัวไปกลางกองทัพพยัคฆ์เมฆาใช่ไหม ? แล้วหลังจากนั้นเจ้าเหมียวยักษ์ตัวนี้ก็เอาแต่เดินตามพวกเรา แถมยังช่วยพวกเรามาตลอดทางเสียด้วยใช่หรือเปล่า ? จะเป็นไปได้ไหมว่าเฉินเฟิงน่ะไม่ได้จากไปไหน แต่กลายร่างเป็นเจ้านี่ต่างหาก ?”

เยี่ยหลานตะลึง “มันจะเป็นไปได้ยังไง…นั่นน่ะมันเหลือเชื่อเกินไปแล้วนะ !”

“มันก็เหลือเชื่ออยู่…แต่เธอลองคิดดูสิว่า ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ งั้นทำไมมันถึงได้ช่วยพวกเราล่ะ ? อีกอย่าง เฉินเฟิงทั้งไม่ได้กลับไปที่เมือง และไม่ได้ตาย แต่ก็ดันติดต่อเขาไม่ได้เสียด้วย ซึ่งมันจะเป็นแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขากลายร่างไปอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะติดต่อกลับมาได้เท่านั้น ข้อสุดท้าย เจ้านี่มันก็ดันเดินตามเรามาตลอดทางเสียด้วย ซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกัน จริงไหมล่ะ ?”

ครั้นได้ฟังที่วิหารจันทราเทพอธิบาย เยี่ยหลานก็ชักจะเชื่อขึ้นมาหน่อยๆ แต่ทั้งสองยังไม่สามารถพูดกับสัตว์เลี้ยงได้ด้วยกันทั้งคู่ แถมก่อนหน้านี้วิหารจันทราเทพยังเคยลองพูดกับมันดูมาแล้ว และมันก็ไม่ได้พูดตอบเสียด้วย

แต่ถึงมันจะเดินตามสองสาวมาตั้งเป็นนานสองนานแล้วก็เถอะ สองสาวก็ไม่กล้ารับประกันหรอกว่ามันจะไม่แปรพักตร์หันมาเล่นงานพวกเธอ ทั้งสองจึงได้แต่หารือกันว่าจะหาวิธีไหนมายืนยันดีถึงจะไม่เป็นอันตราย

แต่ขนาดช่วยกันคิดแทบตายก็ยังคิดวิธีดีๆ ไม่ออกอยู่ดี วันนี้เธอสองคนใช้สมองหนักเกินไปแล้วจริงๆ หลังจากหารือกันพักใหญ่ สุดท้ายก็ไม่มีผลลัพธ์อะไร เยี่ยหลานบอกว่า ถ้าพยัคฆ์เมฆาคือเฉินเฟิงแปลงร่างมาจริงๆ ล่ะก็ มันต้องไม่กล้าทำอะไรเธอสองคนแน่ ว่าแล้วเธอก็คิดจะลองยิงมันดูสักดอก

แน่นอนละว่าวิหารจันทราเทพพยายามหว่านล้อมแทบเป็นแทบตายเพื่อห้ามไม่ให้เยี่ยหลานทำตามที่คิด อย่าล้อเล่นน่า ! เห็นมันเชื่องอย่างกับเจ้าเหมียวที่เลี้ยงไว้ในบ้านแบบนี้ก็เถอะ ตลอดทางที่เดินมากันน่ะ ยังไม่เห็นมีสัตว์อสูรตัวไหนรับมือมันได้ถึงสามกระบวนท่าโดยไม่ไปเกิดใหม่เลยนะ ถึงเธอจะนึกสงสัยว่ามันอาจจะเป็นเฉินเฟิงแปลงร่างมาก็เถอะ แต่ถ้าเกิดมันไม่ใช่ขึ้นมาล่ะ ?

หลังจากเกลี้ยกล่อมเยี่ยหลานได้แล้ว วิหารจันทราเทพก็วิ่งไปหยุดยืนตรงหน้าพยัคฆ์เมฆา แล้วลองพูดด้วยอีกครั้งอย่างไม่ยอมตัดใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์เมฆาที่มีขนาดใหญ่มหึมา วิหารจันทราเทพก็ขอรักษากิริยานอบน้อมเอาไว้ก่อนโดยเอ่ยปากถามอย่างสุภาพว่า

“รบกวนหน่อยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณคือเฉินเฟิงใช่หรือเปล่าคะ ?”

พยัคฆ์เมฆาเหลือบมองวิหารจันทราเทพอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง แล้วค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งโดยไม่สนใจเธอ

วิหารจันทราเทพเปลี่ยนตำแหน่งไปยืนอีกที่ แล้วเปลี่ยนเป็นถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างผ่อนคลายว่า

“ฮัลโหล คุณได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าคะ ?”

ครั้งนี้พยัคฆ์เมฆาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นด้วยซ้ำชนิดหักหน้ากันเห็นๆ

ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะของเยี่ยหลานที่ดังมาจากด้านหลัง วิหารจันทราเทพก็ชักฉุน ถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะห้วน

“ถ้าคุณคือเฉินเฟิงล่ะก็ แสดงอะไรยืนยันหน่อยสิ จะกะพริบตา ร้องสองครั้ง หรือเดินวนไปรอบๆ ก็ได้”

พยัคฆ์เมฆาผงกศีรษะขึ้นอย่างรำคาญ แล้วอยู่ๆ ก็จามออกมาฟืดใหญ่ ทำเอาวิหารจันทราเทพเปียกเหนอะไปทั้งตัว

เยี่ยหลานที่อยู่ด้านหลังยิ่งฟังก็ยิ่งหัวเราะก๊ากดังขึ้นทุกที สุดท้ายต้องร้องโอดโอยเพราะหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว

หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตาจนสะอาดเหมือนเดิมแล้ว วิหารจันทราเทพก็เดือดดาลสุดขีด ชักดาบสั้นออกมาทันควัน เตรียมจะตรงเข้าไปฟันสักดาบสองดาบเพื่อลองดูว่าพยัคฆ์เมฆาจะโจมตีกลับหรือเปล่าเหมือนที่เยี่ยหลานคิดจะทำเมื่อครู่ ทำเอาเยี่ยหลานสะดุ้งโหยง แล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายลนลานเข้าไปชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมลากตัวเธอกลับมาบ้าง

หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบไฟโทสะของวิหารจันทราเทพลงได้ เยี่ยหลานก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า บางทีเฉินเฟิงที่กลายเป็นพยัคฆ์เมฆาอาจจะไม่สามารถฟังและพูดได้ก็ได้ แต่ถ้ามันคือเฉินเฟิงจริงๆ ละก็ ในเมื่อมันยังจำสองสาวได้ อย่างนั้นก็น่าจะยังอ่านตัวหนังสือออกจริงไหม ?

วิหารจันทราเทพรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เพียงแต่พยัคฆ์เมฆาไม่มีชื่อเสียหน่อย เมื่อไม่มีชื่อ ก็ไม่มีเป้าหมาย อย่างนั้นก็ส่งข้อความไปให้มันไม่ได้น่ะสิ...

ความจริงไม่ว่าใครก็ตามถ้าได้อยู่กับเฉินเฟิงนานเข้า ก็มักจะติดนิสัยบางอย่างของเขากันทั้งนั้น ระหว่างที่วิหารจันทราเทพกำลังกลุ้มใจว่าจะทำยังไงดี เยี่ยหลานก็ล้วงหยิบสมุดกับอุปกรณ์เขียนพู่กันออกมาจากกระเป๋าใส่ไอเท็มของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

ถ้ามีโอกาสชะโงกหน้าเข้าไปดูในกระเป๋าของเยี่ยหลานละก็ จะพบว่าในกระเป๋ามีทั้งคบไฟ เชือก กล้องส่องทางไกล...ของสารพัดสารเพยัดอยู่จนเต็มเอี๊ยด ซึ่งทำให้เดาได้ว่าเยี่ยหลานติดเชื้อชอบสะสมไอเท็มของเฉินเฟิงเข้าให้ซะแล้ว...

วิหารจันทราเทพเหลือบมองกระเป๋าของเยี่ยหลานแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน รับสมุดกับอุปกรณ์เขียนพู่กันมาพลางพูดว่า

“โอ้โห ! ไอเท็มของเธอนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ...ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่านิสัยนี้คล้ายกับใครบางคนเลยน้อ !”

เยี่ยหลานพ่นลมออกทางจมูกอย่างเคืองๆ “แซวกันอีกละ ฉันไม่สนเธอแล้วนะ ! รีบๆ ทำให้เสร็จเร็วๆ เถอะน่า ไม่งั้นจะให้เราสองคนอยู่รอจนคุณอะไรก็ได้รีบตามมาช่วยพรุ่งนี้หรือไง ?”

“จ้าๆๆ ! รีบๆ ทำให้เสร็จ ! รีบๆ ทำให้เสร็จ !” วิหารจันทราเทพเริ่มขยับมือเขียนข้อความถามพลางร้องรับกึ่งล้อเลียน ทำเอาเยี่ยหลานต้องถอนใจที่ดันซี้ซั้วคบเพื่อนเข้าให้ซะแล้ว !

สองสาวทำงานกันไปพลางแซวกันเล่นไปพลาง กว่าจะเขียนเสร็จก็เสียเวลาไปครู่ใหญ่ แต่พอเอาไปยื่นตรงหน้าพยัคฆ์เมฆา มันดันขยับศีรษะเมินหน้าไปทางอื่นแล้วนอนต่อชนิดไม่มีการไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย เหมือนดูถูกวิธีการของสองสาวอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาสองสาวทั้งหมดความเชื่อมั่นและกำลังใจไปไม่ใช่น้อย

สองสาวเดินกลับไปที่ปากถ้ำอย่างหมดแรง คิดจนศีรษะแทบแตกก็ยังคิดหาวิธีอื่นไม่พบ จึงได้แต่พากันทรุดลงนั่งเหม่อกับพื้น

หลังจากต่างนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ เยี่ยหลานก็เปิดสมุดบันทึกออกอ่านดู สมุดเล่มนี้เธอคัดลอกมาจากสมุดบันทึกของเฉินเฟิงโดยใช้เวลาลอกตั้ง 3 วันเต็มๆ เชียวนะ ข้างในมีข้อมูลดีๆ เยอะแยะลานตาไปหมด หนาตั้ง 50 กว่าหน้าแน่ะ และแน่นอนว่าที่ไอเท็มในกระเป๋าของเธอมันมากขึ้นทุกทีๆ ก็เป็นเพราะสมุดเล่มนี้นี่แหละ

อันที่จริงไอเท็มที่เคยใช้งานมาแล้วทั้งหมดซึ่งบันทึกเอาไว้ในสมุดเล่มนี้ เธอยังสะสมได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ

ถึงอย่างนั้นการลอกเพียงรอบเดียวย่อมจะไม่สามารถจำได้หมดอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เยี่ยหลานจึงชักจะติดนิสัยเวลามีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็จะมาลองเปิดสมุดบันทึกอ่านดูว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้บ้างหรือเปล่า

วิหารจันทราเทพไม่ได้มีนิสัยชอบจดบันทึก แต่พอเห็นเยี่ยหลานยังไม่ยอมตัดใจ เธอจึงเอากระเป๋าเก็บไอเท็มของตัวเองออกมารื้อดูบ้างเพื่อจะหาดูว่ามีไอเท็มอะไรที่พอจะใช้การได้บ้างหรือเปล่า

ขณะที่สองสาวแยกย้ายกันก้มหน้าก้มตาทำงานนั่นเอง อยู่ๆ พยัคฆ์เมฆาที่เอาแต่นอนอืดก็ลุกขึ้นเดินวนไปรอบๆ สองสาวอย่างกระตือรือร้น แถมยังเอาแต่ส่งเสียงร้องไม่ยอมหยุดเหมือนเผลอไปกินยากระตุ้นประสาทเข้าอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาสองสาวต่างสะดุ้งโหยง

“จันทราเทพ เธอไปทำอะไรเข้าอีกแล้วล่ะ ?” เยี่ยหลานถาม

วิหารจันทราเทพผู้ถูกปรักปรำร้องว่า “ไม่มีซะหน่อย ! ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันสิกำลังจะถามเธอด้วยซ้ำว่าเธอไปทำอะไรเข้าน่ะ”

สองสาวมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วต่างลองทำกิริยาเดิมเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งอย่างระมัดระวัง เพื่อจะทดสอบดูว่าอะไรกันแน่ที่ดึงดูดความสนใจของพยัคฆ์เมฆา ?

หลังจากลองทดสอบดูแล้ว เยี่ยหลานก็ยืนยันว่า กิริยาอาการที่เธอทำไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น ข้างวิหารจันทราเทพ ทุกครั้งที่เธอเปิดกระเป๋าเก็บไอเท็ม พยัคฆ์เมฆาก็จะส่งเสียงร้องอย่างกระตือรือร้นทันที

เยี่ยหลานกระซิบว่า “จันทราเทพ ดูท่ามันจะเล็งมาที่เธอตั้งแต่แรกแล้วล่ะนะ ในกระเป๋าของเธอต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญกับมันมากแน่ๆ เธอลองเอาของทุกอย่างในกระเป๋าออกมาดูดีไหม ? ไม่แน่อาจทำให้เฉินเฟิงกลับเป็นปกติได้ก็ได้นะ”

ตอนที่พยัคฆ์เมฆาไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ สองสาวก็ปวดศีรษะกลุ้มใจ แต่พอมันมีปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นมา สองสาวก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนหัวใจจะวายอีกนั่นแหละ

วิหารจันทราเทพลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเริ่มล้วงไอเท็มในกระเป๋าออกมาช้าๆ

แต่เพิ่งเอาออกมาได้แค่ไม่กี่อย่าง เยี่ยหลานก็อยากจะเป็นลม เพราะวิหารจันทราเทพหยิบแต่ของโคตรจะธรรมดาสามัญออกมาทั้งนั้น อย่างผลึกเวทมนตร์ธาตุงี้ ม้วนคาถางี้ ก้อนโลหะงี้ ระเบิดควันงี้ ระเบิดแสงงี้ จึงจำต้องออกปากเตือนว่า

“เอาของที่มันพิเศษๆ หน่อยสิ ถ้าของพวกนี้ดึงดูดความสนใจของเจ้าเหมียวยักษ์นั่นได้ล่ะก็ ป่านนี้มันคงวิ่งกวดตามผู้เล่นทุกคนไปแล้ว มีเหรอจะถึงคิวมาวิ่งตามเราน่ะ ?”

วิหารจันทราเทพค้อนขวับ “ก็เธอนั่นแหละบอกให้เอาของในกระเป๋าออกมาให้หมด ยังจะมาว่าฉันอีก…”

เยี่ยหลานเลยต้องรีบขอโทษขอโพยว่าเธอผิดไปแล้ว และกระตุ้นเตือนให้วิหารจันทราเทพเอาไอเท็มออกมาจากกระเป๋าต่อ

และแล้วสารพัดอาวุธก็แสดงตัวเป็นลำดับถัดไป มีทั้งดาบสั้น , ธนูยาว , ดาบซามูไร , ดาวกระจายกากบาท , ทวน , แส้ , ค้อนยักษ์…ทำเอาเยี่ยหลานถึงกับมองตาค้าง นี่มันแข่งกับเฉินเฟิงได้เลยนะเนี่ย มันร้านขายอาวุธขนาดย่อมชัดๆ !

แต่เนื่องจากมีประสบการณ์จากเมื่อกี้มาแล้ว เยี่ยหลานจึงหุบปากเงียบไว้เพื่อไม่ให้วิหารจันทราเทพหยุดมือ แม้จะนึกประหลาดใจว่าไหงอีกฝ่ายถึงเกิดหัวทึบขึ้นมากะทันหันล่ะเนี่ย ถึงได้เอาออกมาแต่พวกอาวุธที่ไม่มีอะไรพิเศษอีกแล้ว ?

หลังจากล้วงอาวุธออกมาจนหมด ไอเท็มที่ออกโรงเป็นลำดับถัดไปก็คือบรรดาเครื่องประดับ ต่างหูแบบหนีบ , สร้อยคอ , สร้อยข้อมือ , ผ้าคลุมไหล่ , หน้ากาก…ยากจะจินตนาการถึงจริงๆ ว่าในกระเป๋าของวิหารจันทราเทพที่ปกติแต่งตัวแสนจะเรียบง่ายและแทบไม่สวมเครื่องประดับอะไรเลยจะมีเครื่องประดับครบครันไม่มีขาดสักอย่างแบบนี้ได้…

ยิ่งของในกระเป๋าเหลือน้อยลงเท่าไร วิหารจันทราเทพก็ยิ่งใจเต้นโครมคราม เยี่ยหลานเองก็พลอยใจเต้นระทึกไปด้วยถึงขนาดเตรียมอาวุธพร้อมพรักเผื่อจะเกิดเหตุไม่คาดคิด

อีเตอร์ , เชือก , คบไฟ , กล้องส่องทางไกล , กระโจม…

วิหารจันทราเทพระบายลมหายใจเฮือก แล้วแบมือ

“ไม่มีแล้วล่ะ ไอเท็มทุกอย่างทั้งอาวุธทั้งเครื่องป้องกันก็เอาออกมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรสักอย่างที่…”

“ไม่มีแล้ว !” เยี่ยหลานรับกระเป๋ามาดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอดูข้างใน ก็พบว่าเหลือแต่พวกผลึกเวทมนตร์ธาตุจริงๆ ด้วย อย่างนั้นปฏิกิริยาของพยัคฆ์เมฆานั่นมันแปลว่าอะไรกันเล่า ?

ระหว่างที่สองสาวต่างนั่งปวดหัวคิดกันอย่างไม่เข้าใจ พยัคฆ์เมฆาที่รอจนชักรำคาญก็เอาแต่ส่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ไม่ได้หยุดเหมือนจะเร่งสองสาวอย่างไรอย่างนั้น

วิหารจันทราเทพพลิกกระเป๋าเทของข้างในทั้งหมดออกมาอย่างชักจะฉุน ผลึกเวทมนตร์ธาตุกองใหญ่ร่วงตกลงกระจายเกลื่อนพื้น ฉับพลันนั้นพยัคฆ์เมฆาแผดเสียงคำรามก้อง แล้วกระโจนพรวดตรงเข้ามาทันที ทำเอาสองสาวใจหายวาบ ลนลานกลิ้งหนีกันจ้าละหวั่น

ครั้นตั้งสติได้และมองไป ก็เห็นพยัคฆ์เมฆาคาบถุงนอนใบหนึ่งจากไป เยี่ยหลานยังไม่ทันได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็ได้ยินวิหารจันทราเทพกรีดร้องว่าแย่แล้ว จากนั้นกระโจนพรวดเข้าไปพยายามจะแย่งถุงนอนกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่กำลังชักเย่อกัน ในที่สุดถุงนอนก็ทนแรงดึงไม่ไหวปริขาดเป็นรอยกว้าง ปุยดอกฝ้ายฟุ้งกระจายทั่วฟ้าทันที ดูท่าคงจะเป็นวัตถุดิบที่ยัดอยู่ในถุงนอนนั่นเอง

แต่ทว่า…เยี่ยหลานประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนอกจากปุยฝ้ายขนาดเล็กที่ใช้รักษาอุณหภูมิแล้ว ยังมีขนนกขนาดต่างๆ ปะปนอยู่ด้วย แถมดูจากปริมาณแล้ว ขนนกไม่ได้มีน้อยไปกว่าดอกฝ้ายเลยด้วยซ้ำ

ที่ผิดคาดยิ่งกว่าคือ ขนนกพวกนี้ออกจะดูแปลกๆ ยังไงชอบกล เพราะมีทั้งขนขนาดเล็กสีน้ำตาลปนเหลือง และมีบางอันที่ดูเหมือนกับ…ขนของพวกเป็ดไก่ ?

ตัวเอกที่กำลังเล่นชักเย่อทั้งสองต่างก็ไม่มีเวลาว่างไปสังเกตสังกาขนนกกับดอกฝ้ายเหมือนอย่างเยี่ยหลาน และสนามรบก็ได้ย้ายจากถุงนอนไปหาไข่สีขาวขนาดยักษ์ที่กลิ้งออกมาจากถุงนอนแทนที่ไปแล้ว

ถึงแม้พอเห็นไข่ยักษ์สีขาวกลิ้งออกมาปุ๊บ วิหารจันทราเทพก็ทิ้งถุงนอนเปลี่ยนเป็นกระโจนเข้าไปหาไข่ยักษ์ปั๊บ แต่พยัคฆ์เมฆากลับเร็วยิ่งกว่ากันหนึ่งก้าว มันวิ่งตะบึงเข้ามาอย่างว่องไวปานลมพัด แล้วอ้าปากงับฉับ ไข่สีขาวก็ปลาสนาการไปในทันที เหลือแต่ขนนกปลิวว่อนเต็มฟ้าประหนึ่งลมสารทกวาดใบไม้ร่วง ช่างงดงามเสียนี่กระไร

“กรี๊ด ! ไอ้เสือบ้า ! ไข่ของฉัน ! เอาไข่ของฉันคืนมานะ…เอาไข่ของฉันคืนมาเซ่ !” วิหารจันทราเทพสติขาดผึง คว้าแส้บนพื้นขึ้นมาหวดใส่พยัคฆ์เมฆาอย่างเอาเป็นเอาตายทันที

เยี่ยหลานยืนตกตะลึงอ้าปากค้าง ลืมกระทั่งเรื่องที่ควรจะเข้าไปห้ามวิหารจันทราเทพเสียสนิท

พยัคฆ์เมฆาไม่ได้โจมตีวิหารจันทราเทพที่กำลังคลุ้มคลั่งแต่อย่างใด มันแผ่กางปีกสีขาวขนาดยักษ์ แล้วบินขึ้นไปกลางอากาศอย่างแช่มช้า ทำเอาวิหารจันทราเทพพยายามฟาดอย่างไรแส้ก็ยาวไม่ถึงอยู่ดี

“โฮ…ไข่ของฉัน สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของฉัน ยังไม่ทันได้ออกมาดูโลกก็ถูกกินซะแล้ว…เอามันคืนมานะ !” วิหารจันทราเทพฟาดพยัคฆ์เมฆาไม่ถึง จึงได้แต่ทรุดแปะลงนั่งกับพื้น แล้วพึมพำอะไรไม่ทราบขาดเป็นห้วงๆ

เยี่ยหลานเพิ่งจะทราบก็ตอนนี้เองว่า ไข่ยักษ์สีขาวใบนั้นคือไข่สัตว์เลี้ยงของวิหารจันทราเทพ ! แย่ละสิคราวนี้ เพราะเธอเป็นคนเสนอไอเดียให้เอาไอเท็มออกมาเอง อีแบบนี้เธอมิกลายเป็นฆาตกรทางอ้อมหรอกหรือ…

ระหว่างที่สองสาวต่างกำลังร้อนรนกระวนกระวาย ฉับพลันนั้นพยัคฆ์เมฆาที่อยู่กลางอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ละอองหมอกเบาบางพลุ่งออกมาจากขาทั้งสี่ของมันอย่างไม่ขาดสาย แล้วเพียงพริบตาเดียว รอบบริเวณนั้นก็กลายเป็นสีขาวโพลนไป

“โฮก…”

เสียงร้องดังขึ้นแผ่วเบา ร่างของพยัคฆ์เมฆากลืนหายไปกับม่านหมอก และปลาสนาการไปท่ามกลางผืนฟ้าแผ่นดินสีขาวโพลน ส่วนสองสาวต่างก็ถูกละอองหมอกหนาทึบปกคลุมจนกางมือตรงหน้ายังมองไม่เห็นนิ้ว



[1] อาคเนย์ แปลว่า ทิศตะวันออกเฉียงใต้

[2] หน้าต่างบ้านคนจีนโบราณจะเป็นโครง แล้วใช้กระดาษบุเพื่อกันลมเข้า กระดาษบุหน้าต่างเป็นคำเปรียบเทียบว่าฝีมือสู้กระจอกขนาดแค่เอานิ้วจิ้มจึ๋งเดียวก็ตายเหมือนอย่างกระดาษที่แค่เอานิ้วจิ้มก็ขาด

[3] โกเลม (Golem) เดิมหมายถึงหุ่นที่ทำจากดินหรือหินที่ถูกเสกให้มีชีวิต มีขนาดต่างๆ กันตั้งแต่เท่าคนจริงไปจนถึงสูงใหญ่หลาย 10 เมตร มักถูกนำมาใช้เป็นปิศาจในเกม

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:10

0 ความคิดเห็น