หัวข้อ : เล่มที่ 6 รวมสมาพันธ์เฟิงเป็นหนึ่ง ตอนที่ 6 ผิดคาด

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:12

ตอนที่ 6

 

ผิดคาด

 

 

วิหารจันทราเทพสมปรารถนาไปแล้ว แต่รูปสลักดันไม่ยอมรับเฉินเฟิงกับเยี่ยหลานเสียนี่ ทั้งสามได้แต่หารือกันอย่างท้อแท้อยู่ที่หน้ารูปสลัก

หลังจากได้ฟังวิหารจันทราเทพอธิบายอย่างละเอียดกว่าเดิม เฉินเฟิงค่อยทราบว่าเหตุการณ์ตอนที่ได้อาชีพนักบวชก็คล้ายๆ กับตอนที่เรียนเวทมนตร์นั่นแหละ นั่นคือจะถูกส่งไปยังสถานที่เฉพาะที่มีแท่นบวงสรวงอยู่ เพียงแต่ไม่มี NPC อยู่ให้บริการเท่านั้น

หากจะว่ากันตามหลัก ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิหารจันทราเทพได้อาชีพนักบวชแล้ว เพราะเธอเพียงแค่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น “นักบวชฝึกหัด” ที่ก็เหมือนกันกับจอมเวทฝึกหัดเท่านั้น หากคิดจะได้อาชีพนักบวชโดยสมบูรณ์ละก็ ต้องรอจนกว่าระดับของทักษะอื่นๆ เพิ่มตามมาจนครบ จึงจะได้รับทักษะพิเศษของอาชีพนักบวช

เหตุที่ตอนแรกในบรรดาขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคนมีแต่อะไรก็ได้เพียงคนเดียวที่เรียนรู้มนตร์แห่งเทพ เป็นเพราะในตอนนั้นพวกเขายังไม่ทราบว่าผู้เล่นแต่ละคนสามารถมีอาชีพได้หลายอาชีพนั่นเอง

เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ลำบากแทบตาย เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานจึงอยากจะเรียนมนตร์แห่งเทพด้วยเหมือนกัน อย่าว่าแต่การมีมนตร์แห่งเทพจะทำให้เหมือนกับว่าพกเชือกล้อมเขตติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะใครๆ จะพากันเอาตัวมาปกป้องไม่ให้เราได้รับอันตราย แถมยังช่วยประหยัดเงินค่ายาฟื้นพลังได้โขอีกต่างหาก

ครั้งนี้เฉินเฟิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการค้นพบความลับมีอันเจอทางตันเข้าให้เสียแล้ว ตัวเขาที่ไม่เชื่อเรื่องอาถรรพณ์ลุกพรวดขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วโค้งคารวะรูปสลักอันเคร่งขรึมที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงไปอีกหลายรอบ

แต่ขนาดโค้งคารวะจนชักจะเมื่อยเอวแล้ว ก็ยังไร้ปฏิกิริยาใดๆ อยู่ดี เฉินเฟิงเริ่มโมโหจนแอบสรรเสริญบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของกลุ่มผู้ออกแบบเกมอีกครั้ง

ระหว่างที่เฉินเฟิงกำลังเป็นฟืนเป็นไฟ เยี่ยหลานเห็นเฉินเฟิงทดลองดูอีกหลายครั้ง จึงลุกขึ้นไปทดลองดูอีกบ้าง เพราะถึงยังไงจะให้นั่งรออยู่เฉยๆ ก็ใช่ที่

ทันใดนั้นรูปสลักได้เปล่งแสงสีขาวนวลตาออกมาอีกครั้ง แล้วดูดเยี่ยหลานหายวับไปต่อหน้าต่อตาเฉินเฟิงที่จ้องมองในอาการอ้าปากค้าง

เฉินเฟิงโวยวายทันที “แว้ก !! นี่…นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน ! ระบบจงใจหาเรื่องผมหรือไงหา ? ทำไมถึงมีแต่ผมที่เรียนไม่ได้ล่ะ ?”

วิหารจันทราเทพเห็นเฉินเฟิงโมโหจนเต้นเหยงๆ ก็แอบปิดปากหัวเราะคิก

คิดไม่ถึงเลยว่าขนาดเยี่ยหลานทำสำเร็จไปแล้ว เฉินเฟิงก็ยังหาไม่พบด้วยซ้ำว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ดูท่าการได้อาชีพนักบวชคงจำเป็นต้องมีคุณสมบัติบางอย่างจริงๆ เสียด้วย

เฉินเฟิงคิดแล้วคิดอีก ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สุดท้ายได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากวิหารจันทราเทพโดยถามว่า

“จันทราเทพ ตอนที่เธอคารวะ เธอท่องอะไรอยู่ในใจ หรือคิดอะไรอยู่หรือเปล่า ?”

วิหารจันทราเทพทำหน้างง ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เฉินเฟิงถึงถามอย่างนี้ แต่ก็ตอบไปตามตรงว่า

“ไม่มีนะ…ตอนที่คารวะ ในหัวฉันมีแต่ความว่างเปล่า ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่ารูปสลักนี้ดูแล้วศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใสจริงๆ ก็เลยคารวะน่ะ ความจริงฉันไม่ได้เชื่อเรื่องเทพเจ้าหรอกนะ แล้วปกติฉันก็ไม่ได้มีนิสัยเที่ยวไหว้หรือคารวะใครด้วย แต่ว่า…ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าฉันรู้สึกว่าควรจะคารวะ ก็เลยคารวะนั่นแหละ !”

“แค่รู้สึกว่าควรจะคารวะ…” เฉินเฟิงพึมพำซ้ำไปซ้ำมา แล้วผงกศีรษะพรวดขึ้นมองรูปสลักอีกครั้งทันที

เฉินเฟิงเองก็เป็นคนไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นตอนที่อะไรก็ได้พูดแนะนำ เขาถึงได้พยายามค้นหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรูปสลักนี้ และเชื่อว่าน่าจะต้องใช้คาถาหรือรหัสลับอะไรบางอย่างจึงจะสามารถทำให้รูปสลักนี้ขยับเขยื้อนได้

ตอนที่ได้เห็นวิหารจันทราเทพทำให้รูปสลักมีปฏิกิริยาสำเร็จนั้น แม้เฉินเฟิงจะเลียนแบบคารวะตาม แต่ในหัวเขาก็เอาแต่คิดถึงสาเหตุที่รูปสลักมีปฏิกิริยาอยู่ดี

หรือจะเป็นเพราะในใจคิดฟุ้งซ่าน รูปสลักก็เลยไม่ยอมรับเขา ?

เฉินเฟิงหลับตาลงหลายวินาที รอจนจิตใจสงบลง แล้วจึงลืมตาขึ้นมองรูปสลักอีกครั้ง

รูปสลักนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและงดงามมากจริงๆ ทั้งยังดูเคร่งขรึมอีกด้วย การไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าของเฉินเฟิงแตกต่างกับคนที่ไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าทั่วๆ ไป เขาค่อนข้างจะมีความคิดไปในแนวทางของลัทธิเต๋า[1] นั่นคือคิดว่าไม่ว่าจะเป็นเทพองค์ใด หรือกระทั่งพระพุทธเจ้า พระเจ้า พระอัลเลาะห์ น่าจะไร้รูปไร้ลักษณ์ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยกราบไหว้รูปบูชา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่นับถือ

เฉินเฟิงคิดว่า เทพเจ้าควรจะสถิตอยู่ในใจของเรา คอยชี้นำแนวทางให้แก่ผู้คนอยู่ในความมืดโดยไม่มีการลำเอียง และยึดถือจิตใจเป็นหลัก

หลังจากขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เฉินเฟิงก็พลันพบว่าดูเหมือนรูปสลักจะเปล่งแสงอยู่รางๆ ดูเคร่งขรึม อ่อนโยน และสงบนิ่ง ความคิดอยากจะคารวะผุดวาบขึ้นในใจเขาทันที เฉินเฟิงจึงเดินเข้าไปคารวะอย่างนอบน้อม 3 ครั้ง

ในที่สุดรูปสลักก็เปล่งแสงสีขาวนวลตาออกมาอีกครั้ง แสงนั้นสาดลงหาเฉินเฟิงอย่างแช่มช้า

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะของเฉินเฟิงว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงผ่านพิธีชำระจิตใจ ได้รับแต่งตั้งเป็นนักบวชฝึกหัด ได้รับทักษะพื้นฐาน “พลังเทพ” ระดับ 1 จำนวนพลังพื้นฐาน 100 จุด มีสิทธิ์เรียนรู้ทักษะมนตร์แห่งเทพของผู้เลื่อนขั้น”

เมื่อเฉินเฟิงมองเห็นรอบด้านชัดเจน ก็พบว่าตรงหน้ามีแท่นบวงสรวงอยู่จริงๆ

บนแท่นบวงสรวงมีหนังสือขนาดยักษ์เล่มหนึ่งวางอยู่เหมือนกับแท่นบวงสรวงของวิหารเวทมนตร์ เพียงแต่รอบด้านไม่มีเสาวาดลวดลายอาคม นอกจากนี้ที่ด้านหลังของแท่นบวงสรวงยังมีรูปสลักแบบเดียวกับที่อยู่ตรงกลางห้องโถงวางอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ใหญ่โตเท่า ดูแล้วรู้สึกจะสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น

หลังจากกวาดตาดูรอบด้านเสร็จ เฉินเฟิงก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าไม่มีร่องรอยของเยี่ยหลาน

ตามเหตุผลแล้ว เธอไม่น่าจะเรียนเวทมนตร์เสร็จเร็วขนาดนี้นี่นา ดูท่าต่อให้ผู้เล่นทำตามเงื่อนไขของรูปสลักได้สำเร็จพร้อมๆ กันหลายคน ผู้เล่นแต่ละคนก็จะถูกส่งไปยังสถานที่เฉพาะคนละที่กันอยู่ดีสินะ

เฉินเฟิงเขียนลงไปในสมุดบันทึกว่า

“เจดียักษ์สีขาวให้อาชีพนักบวช การชำระล้างจิตใจ ผู้เล่นจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความศรัทธาของตัวเองอย่างเคารพนบนอบและบริสุทธิ์ใจ จากนั้นก็ทำไปตามที่รู้สึกว่าสมควรกระทำ ซึ่งจำเป็นต้องมีคุณสมบัติบางอย่างอยู่ด้วยจริงๆ”

เฉินเฟิงหัวเราะหยันตัวเอง ตอนแรกเขาละนึกว่าระบบจงใจหาเรื่องเขาเสียอีก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าระบบใช้วิธีไหนมาตัดสินกันนะ ? เพราะไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสามารถทำได้ถึงระดับนี้ สามารถคาดคำนวณได้กระทั่งความนึกคิดของผู้เล่น ไม่รู้ว่าใช้เทคโนโลยีทางด้านไหนสิน่า !

พอนึกถึงว่าวิหารจันทราเทพกำลังรออยู่ข้างนอก เฉินเฟิงก็รีบขึ้นไปบนแท่นบวงสรวง เขาจัดการลอกคำอธิบายลงในสมุดบันทึกเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ซื้อตำราเวทมนตร์

มนตร์แห่งเทพไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างเวทมนตร์ของจอมเวท เพราะไม่ได้แบ่งเป็นธาตุต่างๆ แต่มีการแบ่งระดับเช่นเดียวกัน

ทว่าพอเห็นราคาเข้า เขาละอยากจะอัดคน(ออกแบบเกม)เป็นบ้า ! มนตร์ระดับ 1 มนตร์รักษาและมนตร์รัศมีเทพ ราคามนตร์ละ 10,000 เหรียญเงิน , มนตร์ระดับ 2 มนตร์เทพอารักษ์และมนตร์ชำระวิญญาณ ราคามนตร์ละ 30,000 เหรียญเงิน , มนตร์ระดับ 3 มนตร์เทพทรงพลังและมนตร์เทพกระตุ้นจิต ยิ่งแพงขึ้นไปอีกเป็นมนตร์ละ 50,000 เหรียญเงิน

เมื่อกี้ตอนที่ถามวิหารจันทราเทพ เขาลืมถามถึงเรื่องราคาเสียสนิท นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะแพงมหาโหดขนาดนี้ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นมีเงินพอซื้อครบกันหรือเปล่านะ ?

ทั้งหมด 180,000 เหรียญเงิน เฉินเฟิงใช้วิธีหักออกจากบัญชีเงินฝากในธนาคารโดยตรง ถึงตัวเขาพอจะเรียกว่าเป็นอาเสี่ยได้ก็เถอะ มันก็ยังอดปวดใจไม่ได้อยู่ดี !

นอกจากนี้ยังมีขายชุดสำหรับนักบวชอีกด้วย ที่แท้เมื่อกี้วิหารจันทราเทพก็ซื้อชุดไปจากตรงนี้นี่เอง แต่พอเห็นราคากับพลังของชุดเข้า เฉินเฟิงก็ซื้อไม่ลงอย่างแรง

ไม่ต้องพูดถึงว่าชุดนักบวชของผู้ชายดูไม่ค่อยจะเท่เอาซะเลย พลังป้องกันก็ดันมีอยู่แค่ 2,500 จุดเท่านั้น จริงอยู่หรอกว่ามันมีคุณสมบัติเสริมช่วยลดอัตราการสูญเสียของพลังเทพ 5% แต่ราคาของมันน่ะสูงตั้ง 100,000 เหรียญเงินเชียวนะ !

สุดท้ายเฉินเฟิงก็อ่านไปถึงวิธีออก วิธีออกคือให้ผู้เล่นไปแตะรูปสลักที่ด้านหลังแท่นบวงสรวง ไม่รู้เหมือนกันว่าออกแบบอย่างนี้มาแต่แรก หรือเพิ่งจะมาเปลี่ยนหลังจากที่เขาบอกข้อบกพร่องที่วิหารเวทมนตร์

หลังจากเรียนเวทมนตร์เสร็จ ก็ไม่มีอะไรให้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว เฉินเฟิงจึงทำตามที่คำอธิบายบอกไว้ คือเดินไปแตะรูปสลัก แล้วกลับไปยังห้องโถงอีกครั้ง

ตอนเขากลับไปถึงห้องโถง ก็พบว่าเยี่ยหลานได้กลับมาถึงก่อนแล้ว เฉินเฟิงเห็นเยี่ยหลานไม่ได้เปลี่ยนไปสวมชุดนักบวชแบบวิหารจันทราเทพ ก็เดาว่าเงินของเธอคงจะไม่พอซื้อเป็นแน่ จึงเป็นฝ่ายออกปากถามสองสาวถึงผลลัพธ์ขึ้นก่อน

หลังจากถามดูถึงได้ทราบว่า สองสาวได้เรียนมนตร์แห่งเทพไม่ครบจริงๆ ด้วย

วิหารจันทราเทพนั้นเนื่องจากไปถูกใจชุดนักบวชเข้า จึงตัดสินใจเลือกอยู่นานกว่าจะเลือกเรียนเวทมนตร์ไป 3 บท ส่วนเยี่ยหลานยิ่งอนาถกว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอต้องออกเงินจุนเจือสองเพื่อนซี้คาราเมลกับมัคคิอาโต ตอนนี้เธอจึงแทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงได้เรียนแค่มนตร์พื้นฐานที่สุดระดับ 1 ทั้ง 2 บทนั้นเท่านั้น

เฉินเฟิงต่อว่าวิหารจันทราเทพว่าทำไมถึงไม่ขอยืมเงินเขาไปหมุนก่อนเล่า เยี่ยหลานเองก็เหมือนกัน ไม่ยอมปริปากพูดเลยสักคำ เหมือนไม่เห็นเขาเป็นเพื่อนงั้นล่ะ หรือเห็นว่าการเดินทางเที่ยวนี้มันสบายมาก เลยคิดจะมาอีกหลายๆ เที่ยวไม่ทราบ ?

เมื่อโดนเฉินเฟิงถามมาแบบนี้ สองสาวต่างก็ลำบากใจอย่างยิ่ง เงิน 100,000 กว่าเหรียญเงินหามาได้ไม่ยากก็จริง แต่การจะเก็บเงินให้ได้ถึง 100,000 กว่าเหรียญเงินนั้น ทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ ด้วย

การเอาเปรียบแค่เล็กๆ น้อยๆ นั้น เธอสองคนยังพอจะรับได้ แต่หากให้พวกเธอออกปากยืมเงิน 100,000 กว่าเหรียญเงินละก็ เธอสองคนขอหุบปากเงียบเอาไว้ดีกว่า

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องคืนซักหน่อยนี่ !” เฉินเฟิงโมโห “บอกตามตรงนะ ผมก็แค่ไม่อยากต้องมาอีกหลายเที่ยวเท่านั้น เมื่อกี้ตอนที่โดนกลุ่มผู้ออกแบบเกมกักตัวเอาไว้น่ะ ฟังจากที่เขาพูด ดูเหมือนเขาตั้งใจจะเพิ่มระดับความยากในการมาที่นี่ด้วย…เพราะงั้นถือว่าผมขอร้องเถอะนะ ช่วยยืมเงินผมไปใช้ก่อนได้มั้ย ?”

สุดท้ายหลังจากรับใบหลักฐานการกู้ยืมที่สองสาวยืนกรานให้ทำแล้ว เฉินเฟิงก็โอนเงินไปเข้าบัญชีของสองสาว แน่นอนว่านี่ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของบัตรโอนเงินเช่นกัน เพียงแต่ปกติแล้วพวกผู้เล่นจะไม่คิดอยากใช้คุณสมบัติข้อนี้กันเท่านั้น

ใบหลักฐานการกู้ยืมไม่เพียงแต่มีกำหนดเวลา แต่ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมต่างหากอีก 5% ทว่าเนื่องจากมันสามารถช่วยคุกคามทวงเงินคืนให้ได้ แถมยังคำนวณดอกเบี้ยให้เสร็จสรรพอีกด้วย ดังนั้นปกติหากเป็นการกู้ยืมเงินก้อนใหญ่ ก็ยังพอจะมีผู้เล่นเลือกใช้บริการของมันอยู่

สองสาวกลับเข้าไปในแท่นบวงสรวงอีกครั้ง จึงเหลือแต่เฉินเฟิงนั่งถอนใจอยู่คนเดียว

ดูท่าเขาไม่เหมาะจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพจริงๆ ด้วย เพราะการให้คนอื่นยืมเงินและไอเท็มถือเป็นข้อห้ามสำคัญของนักเล่นเกมอาชีพเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ครุโฬกับอวี๋เลี่ยงอี้ไม่ทราบเตือนเขามาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

หากพูดถึงความสนิทสนมระหว่างสองสาวกับเฉินเฟิง ก็ดูจะยังไม่สนิทกันมากถึงขั้นที่เขาควรจะให้พวกเธอยืมเงิน แต่เฉินเฟิงก็ไม่นึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแม้แต่น้อย

แน่ละว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับการที่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถถือเงินในเกมเป็นเสมือนเงินตราที่หมุนเวียนอยู่ในโลกความจริงเช่นกัน อย่าว่าแต่กระทั่งในโลกความจริงเอง เขาก็ไม่ค่อยถือเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี ตราบใดที่ยังอยู่ในขอบเขตซึ่งกำลังของเขาสามารถจ่ายได้ล่ะก็ และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาถูกพ่อกับแม่บ่นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

หลังจากเก็บใบหลักฐานการกู้ยืมเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็รู้สึกเพลียเหลือใจ การที่ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมงติดต่อกัน ทำให้พอมีเวลาว่างปุ๊บ เขาก็ชักจะง่วงปั๊บ

พอจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้ว ต่อไปเขาควรจะทำอะไรต่อดี ?

การที่ได้ช่วยให้วิหารจันทราเทพทำตามความฝันได้สำเร็จ ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทางด้านสมาพันธ์เฟิงในตอนนี้ก็มีแต่ต้องรอให้เกมราชาฯเปลี่ยนแพทช์เสียก่อน ถึงจะมีงานใหม่ๆ ให้ต้องจัดการ ทักษะบัญชาการของเขาเพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ 15 การจะเพิ่มจำนวนสมาชิกในครั้งหน้า ก็ต้องรอให้ระดับเลื่อนขึ้นเป็น 20 โน่นถึงจะได้

ยังเหลือเวลาอีก 1 สัปดาห์ตามเวลาในโลกความจริงกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแพทช์ ซึ่งมากพอให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัวบางอย่างต่อได้ เมื่อหวนนึกถึงมรสุมต่างๆ ที่โหมซัดใส่ตั้งแต่สมาพันธ์เฟิงเริ่มก่อตั้ง เฉินเฟิงก็นึกถึงเรื่องที่พนันไว้กับครุโฬขึ้นได้

ตอนนี้สมาพันธ์เฟิงมีจำนวนสมาชิกถึง 150 คนแล้ว พอลองคิดดู เรียกว่าครุโฬได้ทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้กับเขาสำเร็จไปแล้ว งั้นก็ได้เวลาที่เขาควรจะทำตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้กับครุโฬบ้างล่ะนะ

เรื่องสุราเร้นดรุณน่ะจัดการได้ง่ายมาก แต่เรื่องข้อมูลของอาชีพช่างฝีมือนี่สิยังอีกห่างไกลเชียวแหละ

ถึงแม้เปลี่ยนแพทช์คราวหน้ามีความเป็นไปได้ว่าตึกแนะนำอาชีพจะมีการประกาศเงื่อนไขในการได้อาชีพ แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของบริษัทเกมเลจจ์ ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าพอถึงเวลานั้นเข้าจริง ก็จะยังไม่มีการประกาศอยู่ดี หรืออาจจะประกาศแค่เงื่อนไขที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นละก็ สุดท้ายแล้วก็ต้องไปคลำหากันเอาเองอยู่ดี

เฉินเฟิงเพิ่งจะตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรเป็นรายการต่อไป เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพก็เรียนเวทมนตร์เสร็จเรียบร้อยและกลับมาถึงพอดี

เนื่องจากพื้นที่แอ่งกระทะอันเป็นที่ตั้งของเจดีย์ยักษ์สีขาวไม่สามารถใช้ม้วนคาถาใดๆ ได้ทั้งสิ้น คนทั้งสามจึงพากันก้าวย่างสู่เส้นทางขากลับ เพราะถึงยังไงภารกิจก็เสร็จสิ้นไปแล้ว จะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์

ครั้นกลับไปถึงเมืองเขี้ยวมังกร วิหารจันทราเทพก็กล่าวลากับทุกคนแล้วขอตัวจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเฉินเฟิงนั้น หลังจากร่ายยาวเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเพื่อนๆ ในสมาพันธ์ทั้งหลายได้ทราบเสร็จสิ้น ก็กล่าวขอตัวเหมือนกัน และเรื่องแรกที่เขาคิดจะทำเป็นลำดับต่อไป ก็ต้องเป็นกลับบ้านไปนอนให้เต็มอิ่มแน่นอนอยู่แล้ว !

 

หลังจากที่ได้นอนจนเต็มอิ่มและตื่นขึ้นมา เฉินเฟิงก็ได้รับเสียงร้องเตือนจากนาฬิกาข้อมือของระบบ คิดไม่ถึงเลยว่าการตั้งสมาคมจะทำให้เวลา 1 อาทิตย์ผ่านไปเร็วอย่างกับติดปีกแบบนี้ แป๊บๆ ก็ได้เวลาที่ต้องออฟไลน์อีกแล้ว เร็วมากเสียจนเขาลืมเวลาที่ต้องออฟไลน์เสียสนิท

เฉินเฟิงฝากข้อความเอาไว้ให้พวกเพื่อนๆ ที่ยังออนไลน์กันอยู่ เขาพักผ่อนในเกมมาพอแล้ว แน่ละว่าในโลกความจริงเองเขาก็ควรจะพักผ่อนให้เต็มอิ่มด้วยเหมือนกัน หลังจากตรวจสอบอาหารของสัตว์เลี้ยงว่ามีพอหรือเปล่าเสร็จแล้ว เฉินเฟิงก็ลงทะเบียนออกจากเกม

นึกไม่ถึงว่าการเป็นนักเล่นเกมอาชีพนี่ก็ไม่ได้สบายเลย วันหยุดที่พอจะมีก็มีแต่ช่วงเวลาที่ออฟไลน์เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเท่านั้น พอคำนวณดูแล้วเท่ากับว่าใน 1 เดือนมีวันหยุดแค่ 4 วัน ซึ่งน้อยกว่าวันหยุดของงานปกติทั่วไปตั้งเยอะ แต่ก็แน่ละว่าวิธีการทำงานมันต่างกันอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยตอนอยู่ในเกมก็ใช่ว่าจะเอาแต่พยายามหาเงินอยู่ตลอดเวลา จะกล่าวว่าเอางานจริงๆ มาเป็นงานอดิเรก และงานอดิเรกก็คืองานจริงๆ ก็ได้

เฉินเฟิงเปิดระบบทำความสะอาด หุ่นยนต์ขนาดเล็กหลายตัวเริ่มทำความสะอาดรอบบริเวณโดยอัตโนมัติ ถึงห้องของเขาจะไม่ได้มีฝุ่นอะไรมากมายก็เถอะ ยังไงเขาก็ไม่ต้องลงมือเองอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ถ้าเครื่องจักรไม่ถูกใช้งานนานเกินไปมักจะเกิดการขัดข้องได้ง่ายอีกด้วย

ตัวเขาก็เหมือนกับคนทำงานคนอื่นๆ นั่นแหละ คือวันหยุดอุตส่าห์มาถึงทั้งที จะอยู่บ้านหรือก็ไม่รู้จะทำอะไรดี เวลาหรือก็มีน้อยเกินไป อีกอย่างคือในวันหยุด ทุกที่จะมีแต่คนยั้วเยี้ยไปหมด แค่คิดถึงว่าต้องออกไปเบียดกับคลื่นมนุษย์ เขาก็หมดแรงแล้ว

เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้กว่าครึ่งปีมานี้เขาจะออนไลน์เข้าไปเล่นเกมทุกครั้งที่วันหยุดมาถึง แต่มาตอนนี้งานปกติของเขากลายเป็นการเล่นเกมไปเสียแล้ว จะให้ผ่อนคลายด้วยการเข้าไปเล่นเกมอีกจึงไม่ค่อยเหมาะนัก

เฉินเฟิงพลิกนิตยสารดูตรงหน้าแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ใช้เวลาในการเดินทางสั้นๆ พักนี้เขาเอาแต่ไปผจญภัยบนภูเขา จึงคิดว่างั้นวันนี้ไปเดินเล่นที่ริมทะเลดีกว่า ครั้งก่อนเพราะต้องขุดแร่ที่ภูเขาแร่เหล็ก ทำให้วันที่ได้ออฟไลน์คลาดจากวันหยุดสุดสัปดาห์ไป ซึ่งก็ช่วยเลี่ยงจากการต้องไปทนเบียดกับคลื่นมนุษย์ที่ตัวเขาแสนจะเกลียดพอดี

เมืองใหม่หลานเฟิงไม่ได้อยู่ติดทะเล ชายฝั่งที่อยู่ใกล้ที่สุดต้องนั่งรถด่วนไป 1 ชั่วโมงจึงจะถึง แต่ยังไงเฉินเฟิงก็จะไปคนเดียวอยู่แล้ว การจัดโปรแกรมเดินทางเลยง่ายมาก

เขาจัดการสั่งซื้ออาหารและตั๋วรถผ่านทางอินเทอร์เน็ต แล้วเปลี่ยนไปสวมชุดที่ดูทะมัดทะแมง ขณะที่เตรียมจะออกจากประตูนั่นเอง ระบบคุ้มกันความปลอดภัยก็แสดงให้ทราบว่ามีแขกมาเยือน

แขก ? เป็นคำที่ไม่คุ้นเอามากๆ เลยนะนี่ !

ห้องนี้ไม่เคยปรากฏมนุษย์คนที่สองโผล่เข้ามานานแค่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ เพราะตั้งแต่เฉินเฟิงย้ายมาอยู่ห้องเดี่ยวในแฟลตขนาดเล็กแห่งนี้ ก็มีแต่พ่อกับแม่ของเขาเท่านั้นที่เคยมาเยี่ยมอยู่หนหนึ่ง นอกนั้นต่อให้มีเพื่อนอยากจะพบตัวเขา ก็มักจะนัดพบกันที่ข้างนอกทั้งนั้น

ถึงจะนึกสงสัย เฉินเฟิงก็ยังต่อเข้าสู่ช่องติดต่อระบบคุ้มกันอยู่ดี แล้วมองภาพที่ปรากฏบนจอไฟฟ้า ปรากฏว่าแขกที่มาก็คือคุณจางอี้เจี๋ยที่อยู่ห้องตรงข้ามนั่นเอง

เฉินเฟิงหัวเราะหยันตัวเอง คนในแฟลตนี้ที่เขารู้จักก็มีแค่จางอี้เจี๋ยคนนี้คนเดียวเท่านั้นจริงๆ แหละนะ แต่บังเอิญชะมัด ถ้าเขาไม่ได้เพิ่งจะออฟไลน์มาหมาดๆ ละก็ ต่อให้จางอี้เจี๋ยมาเคาะประตู ก็ไม่แน่หรอกว่าจะได้เจอเขา

เวลาเข้าไปในโลกสมมติ ก็เท่ากับตั้งระบบเป็นออกไปทำงานนอกบ้านนั่นแหละ แต่แน่นอนว่าถ้าเกิดมีคนพยายามบุกรุกเข้ามาล่ะก็ นอกจากระบบคุ้มกันจะเริ่มทำการคุ้มกันโดยอัตโนมัติแล้ว มันยังจะปลุกผู้เล่นให้ตื่นและปรับระบบกลับสู่สถานะปกติทันทีอีกด้วย

เฉินเฟิงแกล้งทักว่า “ไม่ได้เจอกันนานเชียวครับ บังเอิญจริงๆ วันนี้จางซยง (เฮียจาง) จะมาเลี้ยงข้าวผมอีกใช่หรือเปล่าน้า ?”

จางอี้เจี๋ยหัวเราะ “หึหึ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ นั่นล่ะครับ ! วันนี้แค่ลองมาเคาะประตูดูเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าคุณจะว่างอยู่จริงๆ แล้วก็ถ้าคุณยินดี กะอีแค่เลี้ยงข้าวจะเป็นไรไป ?”

เฉินเฟิงถึงกับงงไป นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมเลี้ยงข้าวเขาอีกมื้อจริงๆ

“ถ้าจางซฺยงจะเลี้ยงข้าว ผมก็ต้องว่างอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้เป็นวันหยุด ผมเลยว่าจะไปเดินเล่นที่ทะเลซะหน่อย…ถ้าจางซฺยงว่างล่ะก็ จะไปเดินเล่นด้วยกันไหมครับ ?”

“โอ้ ! มีอารมณ์สุนทรีย์ปานนี้เชียว คงไม่ใช่ว่านัดสาวเอาไว้หรอกนะ ? แบบนั้นผมจะไปเป็นก.ข.ค.ก็กระไรอยู่” จางอี้เจี๋ยแซว

เฉินเฟิงหัวเราะ “แบบนี้มันแกล้งแขวะกันนี่นา ! ใครบ้างไม่รู้ว่าคนที่พักอยู่ในนี้เป็นชายโสดซะ 90% ? ผมแค่รู้สึกว่าอยู่ในเมืองมันอึดอัดไปหน่อย เลยกะจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศบ้างก็เท่านั้น สนใจจะไปด้วยกันไหมครับ ? จะให้ผมจองตั๋วให้ก่อนเลยมั้ย ?”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จางอี้เจี๋ยก็ตอบรับว่า

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าคุณไม่รังเกียจว่าการไปทะเลกับผู้ชายมันน่าเบื่อละก็ รอผมแป๊บแล้วกันครับ”

 

ผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา เชื่อมโยงผืนฟ้าสีครามสด เปลือยเท้าย่ำทรายขาวหมดจด เงยหน้าดื่มด่ำลมแผ่วพลิ้ว

วันนี้เป็นวันอากาศแจ่มใสที่ไม่เลวเลย แถมยังเป็นอากาศในช่วงเดือนเมษายน[2]พอดีเสียด้วย อุณหภูมิกำลังพอเหมาะ ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป เป็นวันที่เหมาะแก่การไปเที่ยวทะเลอย่างยิ่งจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ 2 ชั่วโมงให้หลัง ผู้ชายทั้งแท่ง 2 คนก็พกข้าวกล่องจับคู่กันโต๋เต๋ไปถึงทะเลในที่สุด

จางอี้เจี๋ยพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าปกติคุณจะมีอารมณ์สุนทรีย์แบบนี้ด้วย ผมนึกว่ามีแต่ผมคนเดียวที่เป็นแบบนี้ซะอีก !”

เฉินเฟิงทำหน้าเหลอ “หรือว่าปกติจางซฺยงชอบมาเที่ยวทะเลคนเดียวบ่อยๆ ?”

“วู้ววววว !” อยู่ดีๆ จางอี้เจี๋ยก็ร้องตะโกนใส่ทะเลสุดเสียงไปหลายหน แล้วหันหน้ามาหัวเราะพลางตอบว่า “ถูกต้องแล้วครับ ! แต่ผมมาที่นี่เพื่อระบายอารมณ์น่ะ เหมือนอย่างเมื่อกี้นั่นแหละ”

“ผมจำได้ว่าจางซฺยงพอใจกับชีวิตในตอนนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ ? แล้วทำไม…”

จางอี้เจี๋ยเดินไปหาหินก้อนใหญ่แล้วนั่งลงเอนหลังพิง สายตาทอดมองอย่างเลื่อนลอยออกไปไกล ปากพูดทีเล่นทีจริงว่า

“โฮ่ ! ดูท่าทางคุณจะสนอกสนใจงานของผมอยู่เหมือนกันนะ ? อยากจะฟังจริงๆ หรือเปล่า ? บอกไว้ก่อนนะว่าพวกนักเขียนน่ะ ถ้าไปเจอคนที่ยอมฟังตัวเองพูดเข้าล่ะก็ จะพูดจ้อชนิดยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยเชียวแหละ !”

เฉินเฟิงเดินไปหาก้อนหินแล้วนั่งลงพิงหลังบ้าง จากนั้นตอบยิ้มๆ

“ไม่มีปัญหาครับ ! ถึงยังไงวันนี้ก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว ความจริงสมัยนี้น่ะไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ก็หาคนจริงๆ ที่ยอมฟังเรื่องที่เราพูดยากมากทั้งนั้นนั่นล่ะ จริงมั้ยครับ ? เพราะอย่างนี้ถึงมีคนตั้งมากมายที่ลืมไปแล้วว่าควรจะสื่อสารกับคนอื่นยังไงดี ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้น้องเองก็เพิ่งจะมีเรื่องที่คิดไม่ตกมาหยกๆ มาตอนนี้พอย้อนคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าขำชะมัด แต่ผู้น้องก็ค่อนข้างจะสนใจเรื่องขีดๆ เขียนๆ จริงๆ นั่นล่ะ ถ้าจางซฺยงยินดี ผู้น้องก็ย่อมจะเป็นท่านผู้ฟังให้สักครั้งได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“ฮ่าฮ่า…” จางอี้เจี๋ยหัวเราะแล้วถอนหายใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะเรียนล้ำหน้าผมไปหนึ่งบทซะแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่น่ากลุ้มจริงๆ ดูท่าผมจะขังตัวเองเอาไว้บนหอคอยงาช้างนานเกินไปเสียแล้ว มิน่าล่ะหัวหน้าบรรณาธิการถึงได้บอกว่าผมตามกระแสไม่ทัน…”

เรื่องของจางอี้เจี๋ยยาวมากจริงๆ และจางอี้เจี๋ยเองก็ไม่เสียทีที่เป็นนักเขียน เพราะสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีชีวิตชีวา บอกเล่าถึงความรู้สึกชอบ ชัง สุข เศร้าของคนเป็นนักเขียนออกมาอย่างหมดเปลือก ทำเอาเฉินเฟิงฟังเพลินจนชักอยากจะลองเป็นนักเขียนดูบ้าง

ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงไปแล้วครึ่งหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว ลำแสงสุดท้ายของตะวันชิงพลบสาดส่องลงกระทบพื้นน้ำเป็นประกายสีทองระยิบระยับ งดงามจนอดทอดถอนไม่ได้ว่า “ตะวันชิงพลบประเสริฐแสน มาตรแม้นเสียดายว่าใกล้สนธยา”

วันหยุด 1 วันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เฉินเฟิงได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกไม่ใช่น้อย แต่เขาก็เชียร์จางอี้เจี๋ยเช่นกันว่าหากมีโอกาส ให้มาหาเขาในเกมราชาแห่งราชันได้ เพราะอย่างน้อยอยู่ที่นั่นก็ช่วยให้คบเพื่อนได้สะดวกขึ้นมาก แถมยังมีไอ้จอมโชคดีอย่างเขาคอยช่วยดูแลให้ด้วย ต่อให้ไม่สนใจจะเล่นเกมจริงๆ ก็ถือว่าลองมาเดินเที่ยวในโลกจินตนาการดูก็ได้

จางอี้เจี๋ยปฏิเสธปนหัวเราะ และบอกว่าโลกที่เขาเขียนขึ้นก็เป็นโลกจินตนาการอยู่แล้ว ขืนยังจะไปที่โลกจินตนาการในวันหยุดอีกล่ะก็ ได้เหนื่อยแย่แหงๆ อย่าว่าแต่เขาอยากจะกลับมายังโลกแห่งความจริงเพื่อที่จะได้รู้สึกถึงชีวิตของตัวเอง ซึ่งตรงจุดนี้ต่อให้วิทยาการก้าวหน้ามากแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะทดแทนได้อยู่ดี

เฉินเฟิงไม่ฝืนใจอีกฝ่าย เพราะความจริงเมื่อก่อนตัวเขาเองก็เคยตั้งแง่กับโลกของเกมออนไลน์มากเหมือนกัน ทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนวิธีติดต่อหากัน แล้วต่างคนต่างก็กลับไปยังรังของตัวเอง

อุดมการณ์กับความเป็นจริงนี่เข้ากันได้ยากยิ่งจริงๆ ในสายตาของคนนอกมักมองว่างานของจางอี้เจี๋ยดูแสนสบาย แต่เลือดเนื้อและน้ำตาที่แฝงอยู่เบื้องหลังของงาน คนอื่นมีหรือจะเข้าใจได้ง่ายๆ ?

เรื่องนี้ทำให้เฉินเฟิงนึกถึงปัญหาหนักอกของตัวเองขึ้นได้ ต้องทำยังไงดีถึงจะสามารถทำให้ความสนุกในการเล่นเกมกับรายได้มันสมดุลกันได้ หรือว่าทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ?

จางอี้เจี๋ยเองก็กำลังกลุ้มใจกับการพยายามรักษาสมดุลระหว่างการทำตามกระแสและการคงหลักการของตัวเองเอาไว้เหมือนกัน หากมองจากบางมุมแล้ว เขากับจางอี้เจี๋ยก็มีความเหมือนในความต่างอย่างบังเอิญมาก แต่อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้จางอี้เจี๋ยก็สามารถควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเองได้ ขณะที่ตัวเขากลับต้องยอมจำนนเพื่อให้เกิดการประนีประนอมกันระหว่างสมาชิกสมาพันธ์ ดังนั้นในด้านนี้ถือว่าเขายังด้อยกว่าจางอี้เจี๋ยมาก

เฉินเฟิงพลิกดูหนังสือคู่มือเกม “ราชาแห่งราชัน” แล้วก็พลันพบคุณสมบัติข้อหนึ่งเข้า นั่นคือสามารถที่จะก๊อบปี้สมุดบันทึกของตัวเองในเกมออกมาได้ด้วย

เมื่อค้นพบคุณสมบัติข้อนี้เข้า เฉินเฟิงก็ดีอกดีใจ และรีบทำตามขั้นตอนก๊อบปี้สมุดบันทึกของตัวเองในเกมที่มีบอกไว้ในหนังสือคู่มือออกมาทันทีพลางคิดในใจว่า มีคุณสมบัติข้อนี้แล้วนี่ ต่อไปจะสามารถลองเขียนผลงานตอนที่ตัวเองอยู่ในเกมได้ด้วยหรือเปล่านะ ?

เขาอาจไม่สะดวกใจที่จะหากำไรจากพวกผู้เล่นผ่านเกม แต่ถ้าเขาเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบเห็นในเกมล่ะ จะมีโอกาสสร้างรายรับอีกทางได้บ้างหรือเปล่าหนอ ?

แต่เฉินเฟิงเกลียดวิชาของสายศิลป์เข้าไส้มาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นถึงเขาจะมีความคิดแบบนี้ก็ตาม ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องพยายามกันอีกยาวนานแค่ไหน

เฉินเฟิงเปิดดูสมุดบันทึกของตัวเอง แล้วหวนนึกถึงการผจญภัยในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ความจริงเขาเองก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจอยู่แล้ว เพราะมีเพื่อนๆ ตั้งมากมายขนาดนี้ยอมให้การสนับสนุนเขา และไม่ว่าจุดประสงค์ของเพื่อนๆ เหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายทุกคนก็ผลักดันให้เขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าสมาพันธ์อยู่ดี

อาจจะมีสมาชิกบางคนที่คิดแต่จะหากำไรเพียงอย่างเดียว แต่หากพวกนั้นจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันมาให้ได้ล่ะก็ มันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับสมาชิกสมาพันธ์ส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ ? เพราะจะยังไงในโลกของเกมราชาแห่งราชันนี้ การจะอาศัยกำลังของตัวเองเพียงลำพังไปคลำหาน่ะนะ แค่เรื่องปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ก็ทำเอาสิ้นเปลืองทั้งเวลาและพลังสมองไปอย่างมหาศาลแล้ว

เฉินเฟิงอ่าน “ทฤษฎีว่าด้วยความยุติธรรมแห่งความสามารถ” ที่มีกลิ่นตำราเรียนอยู่นิดหน่อยกลับไปกลับมาหลายรอบ มีแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ทัดเทียมกันเท่านั้น จึงจะได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน ส่วนเรื่องที่แต่ละคนจะจัดการกับผลตอบแทนที่ตัวเองได้รับมายังไง มันก็ควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวของคนคนนั้นอยู่แล้ว

ลองคิดดูสิว่าในโลกความจริงมันก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันนั่นล่ะ แต่เนื่องจากเฉินเฟิงเป็นหัวหน้าสมาพันธ์ ทำให้นอกจากจะคิดถึงค่าตอบแทนที่ตัวเองต้องจ่ายแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือเขายังต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมภายในสมาพันธ์อีกด้วย โดยไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องจำพวกเอาแต่รับผลตอบแทนโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนที่ทัดเทียมกันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

หลังจากที่แอบตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เฉินเฟิงก็นึกถึงพวกเพื่อนๆ ของหลี่อฺวิ๋น ด้วยการประนีประนอมของอู๋จื้อสฺยง ทำให้ทุกคนต่างยอมถอยไปกันคนละก้าว แต่จะให้ปล่อยพวกนั้นไปเฉยๆ อย่างนี้ได้ยังไงกันเล่า ? แบบนี้มันจะไม่เป็นการขัดแย้งกับหลักการส่วนตัวของเขาอย่างรุนแรงหรอกหรือ ?

ไม่ได้ ! ต้องให้พวกนั้นช่วยทำอะไรๆ ให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องบีบให้พวกนั้นลาออก เขาก็จะทำ…



[1] ลัทธิเต๋า (เต้าเจีย : Dao jia) ผู้ให้กำเนิดลัทธิคือ เล่าจื้อ (เหลาจื่อ : Lao zi) ซึ่งเป็นบุคคลในปลายยุคชุนชิวของจีน แนวคิดและหลักปฏิบัติของลัทธินี้เน้นปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยวางและอย่าทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ

[2] อากาศในไต้หวันมี 4 ฤดู โดยแบ่งคร่าวๆ เป็น เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน คือฤดูใบไม้ผลิ , เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม คือฤดูร้อน เดือนสิงหาคม - ตุลาคม คือฤดูใบไม้ร่วง , เดือนพฤศจิกายน - มกราคม คือฤดูหนาว ดังนั้นเดือนเมษายนจึงยังอยู่ในปลายฤดูใบไม้ผลิ ในไต้หวัน อุณหภูมิของอากาศในเดือนเมษายนจะประมาณฤดูฝนของไทย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:12

0 ความคิดเห็น