โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:12
ตอนที่ 7
ปรับตำแหน่ง
กว่าเฉินเฟิงจะออนไลน์อีกครั้ง ก็ล่วงเข้าเช้าวันใหม่
เป็นครั้งแรกที่เฉินเฟิงเป็นฝ่ายติดต่อหาบรรดารองหัวหน้าสมาพันธ์ก่อน คนแรกที่เขานึกถึงย่อมจะเป็นเจ้าพี่น้องร่วมสาบานซึ่งลงแรงแข็งขันมากที่สุดในการเร่งให้สมาพันธ์เฟิงถือกำเนิดอยู่แล้ว
ครุโฬได้กลับไปที่เกาะเริ่มต้นแล้วเพื่อทำกิจวัตรประจำวันอันแสนจะน่าเบื่อ ซึ่งก็คือการฝึกฝนพวกมือใหม่ต่อไป จุดที่ลำบากที่สุดของงานนี้คือ การจัดแบ่งกลุ่มให้พวกมือใหม่
ควรทราบว่าเวลาในการออนไลน์ของมือใหม่แต่ละคนมักไม่ตรงกัน ความแตกต่างของฝีมือก็มีมาก ใช่ว่ามือใหม่ทุกคนจะสามารถไปเข้าร่วมกลุ่มฝึกวิชาที่เนินเขาวายุจันทราได้ในทันทีที่เข้าสู่สมาพันธ์เสียเมื่อไร
ครุโฬอดงงไม่ได้ที่ได้รับการติดต่อจากเฉินเฟิง เพราะเขานึกว่าหลังจากผ่านสี่วันแห่งการฝึกหฤโหด[1]นั่นแล้ว เฉินเฟิงน่าจะไม่กล้าแตะต้องงานในสมาพันธ์ไปอีกพักใหญ่ถึงจะถูก ใครจะไปคิดว่าแค่ไปเทือกเขาเศียรมังกรมารอบหนึ่งกับออฟไลน์ไปอีก 1 วัน พอกลับมาอีกครั้งเฉินเฟิงก็เปลี่ยนนิสัยมาเป็นรู้จักกังวลสนใจงานในสมาพันธ์ซะแล้ว !
เฉินเฟิงไม่สนใจคำแซวของครุโฬ แถมยังพูดว่าให้ครุโฬอยู่ที่เกาะเริ่มต้นแบบนี้ถือเป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลแบบไม่คุ้มค่าอย่างมาก และบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องอยู่ที่นั่นต่อแล้ว ให้วางกฎเกณฑ์และมอบหมายให้เพื่อนที่ไว้วางใจได้ทำหน้าที่แทน จากนั้นรีบไสหัวกลับมาที่ทวีปกู่ย่าเร็วๆ ซะ
อย่าลืมสิว่าจนป่านนี้ครุโฬก็ยังไม่ได้อาชีพเลยทั้งที่เป็นถึงรองหัวหน้าสมาพันธ์แท้ๆ แล้วแบบนี้จะไปทำให้ใครเขายอมรับนับถือได้ ?
คิดๆ ดูแล้วครุโฬเองก็เห็นด้วย ช่วงนี้เขาเอาแต่ช่วยดูแลพวกเพื่อนๆ ที่ตามมาจากเกมฝันที่เป็นจริงจนลืมไปเลยว่าในโลกของเกมราชาแห่งราชันนี้ ความสามารถของเขายังด้อยอยู่เยอะมากๆ แต่พอพูดถึงเรื่องได้อาชีพ ก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ถึงเดิมพันเรื่องข้อมูลอาชีพช่างฝีมือ และพูดทีเล่นทีจริงให้เฉินเฟิงรีบทำตามข้อตกลงที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้
ผลปรากฏว่าเฉินเฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดแจงโยนภารกิจไปให้ครุโฬโครมใหญ่ทันที โดยสั่งให้เขาจับกลุ่มไปขุดแร่ซะ เพราะนอกจากจะช่วยให้ได้ทักษะอาชีพช่างฝีมือแล้ว ยังช่วยหารายได้เข้าสมาพันธ์ได้ด้วย
ระหว่างที่ครุโฬร้องคร่ำครวญโวยวายประท้วง เฉินเฟิงก็จัดการตัดการติดต่อฉับ แล้วติดต่อสองแสงกล้าเป็นรายต่อไป
จนตอนนี้เฉินเฟิงก็ยังนึกคลางแคลงเรื่องที่สองแสงกล้าเข้าสู่สมาพันธ์อยู่ตลอด เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมสองแสงกล้าถึงได้สนับสนุนเขา
การที่ครุโฬ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ และขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์เข้าสู่สมาพันธ์ เฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกผิดคาดอะไรนัก แต่เขากับสองแสงกล้านี่สิเรียกได้ว่าต่างก็เป็นคนแปลกหน้าด้วยกันทั้งสองฝ่ายด้วยซ้ำ พรรคพวกที่สองแสงกล้ามีไม่ได้น้อยไปกว่าที่เฉินเฟิงมีเลย ประสบการณ์ในการเป็นนักเล่นเกมอาชีพของสองแสงกล้าก็ด้อยกว่าครุโฬแค่นิดเดียวเท่านั้น ซึ่งบุคคลระดับนี้เรียกได้ว่ามีความสามารถมากเกินพอที่จะตั้งสมาพันธ์ของตัวเองเลยเชียวละ
ถึงสองแสงกล้าจะรู้จักกับครุโฬก็ตาม แต่ดูจากปฏิกิริยาระหว่างกันแล้ว ก็เป็นแค่การรู้จักกันเพราะต่างก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพมือเก่าด้วยกันทั้งคู่เท่านั้นโดยไม่ได้มีประสบการณ์เคยร่วมมือกันเท่าไรนัก
ถ้าจะบอกว่าที่สองแสงกล้าเข้าสู่สมาพันธ์เฟิงก็เพื่อที่จะสนับสนุนเฉินเฟิงละก็ สู้บอกว่าที่อีกฝ่ายเข้าสู่สมาพันธ์เฟิงเป็นเพราะเห็นครุโฬเข้าสมาพันธ์เฟิงมากกว่า เพียงแต่อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้สองแสงกล้ายอมวางเดิมพันก้อนใหญ่ขนาดนี้ ? นี่เป็นประเด็นที่เฉินเฟิงสงสัยและอยากรู้มากที่สุด
ตอนที่เฉินเฟิงติดต่อหาสองแสงกล้า อีกฝ่ายกำลังรวมกลุ่มฝึกวิชาอยู่กับเพื่อนๆ บางคนพอดี ถึงแม้หน้าที่ภายในสมาพันธ์ของสองแสงกล้าคือรับผิดชอบดูแลตึกรับทรัพย์ก็ตาม แต่เขาไม่ถนัดด้านการค้าขายหากำไรมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แถมครุโฬยังส่งสมานฉันท์ที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มาเป็นหัวหน้าตึกอีกต่างหาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าสองแสงกล้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลแต่เพียงในนามเท่านั้น
อันที่จริงสองแสงกล้ารอให้เฉินเฟิงติดต่อหามานานมากแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากและรักษาความเป็นคนกลางเอาไว้ตลอดเพื่อความสมานฉันท์ภายในสมาพันธ์ ซึ่งเรื่องนี้เหล่าสมาชิกระดับผู้นำหลายคนต่างก็ดูออกกันทั้งนั้น เพียงแต่ทุกคนก็เป็นเหมือนเฉินเฟิง นั่นคือตราบใดที่ยังเดาไม่ออกว่าสองแสงกล้าคิดจะทำอะไร ก็จะถือเสียว่าเพิ่มปัญหามิสู้ลดปัญหา และพากันทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างปล่อยให้สองแสงกล้าเดินเล่นในสมาพันธ์ไปตามสบายโดยทำเป็นมองไม่เห็นไปซะ
แต่การเดินเล่นก็สร้างแรงกดดันให้สองแสงกล้าอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพรรคพวกที่ให้การสนับสนุนเขาพากันแห่ติดตามเขามาเข้าสมาพันธ์ด้วยกลุ่มใหญ่แบบนี้ ดังนั้นจึงมีคนเฝ้ารอดูอยู่ทุกวันว่าเฉินเฟิงจะทำยังไงกับสองแสงกล้า
ดังนั้นเมื่อได้รับการติดต่อจากเฉินเฟิงปุ๊บ สองแสงกล้าก็ออกไปจากกลุ่มที่กำลังฝึกวิชากันอยู่และกลับไปที่เมืองทันทีเพื่อเตรียมตัวคุยกับเฉินเฟิงให้เคลียร์
เฉินเฟิงนึกไม่ถึงว่าสองแสงกล้าจะจงใจมุ่งหน้ามาหาเขาโดยเฉพาะแบบนี้ จึงได้แต่เชิญอีกฝ่ายมาคุยกันที่บ้านของเขา เพราะถึงยังไงสองแสงกล้าก็มีบัตรอาคันตุกะอยู่แล้ว แถมไม่มีที่ไหนที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครเข้ามารบกวนเท่าที่นี่เสียด้วย
เฉินเฟิงมองห้องอันว่างเปล่า ดูท่าไม่หาเครื่องเรือนมาเพิ่มสักหน่อยคงไม่ได้ซะแล้ว เพราะเวลามีแขกมาหาทีนี่ กระทั่งที่จะให้แขกนั่งก็ยังไม่มีเลย แต่พอนึกถึงว่าเครื่องเรือนแต่ละชิ้นแพงหูฉี่จนแทบจะหัวใจวายตาย เขาก็หมดกำลังใจอยากซื้อไปซะครึ่ง
การออกแบบพวกนี้ของเกมราชาฯนี่มันทั้งน่ารักและน่าแค้นจริงๆ !
“ก๊อกๆ !”
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะบ่นกระปอดกระแปดของเฉินเฟิง ครั้นไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นสองแสงกล้าจริงๆ เฉินเฟิงจึงเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
โชคดีที่สองแสงกล้าไม่ได้เพิ่งมาเป็นครั้งแรก และเข้าใจความลำบากใจของเฉินเฟิงเป็นอย่างดี จึงเป็นฝ่ายบอกให้เฉินเฟิงไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่นั่งหรอก ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงพากันเดินออกไปที่ลานหลังบ้าน และนั่งลงสนทนากันบนพื้นหญ้า
หลังจากซื้อบ้านแล้ว เฉินเฟิงก็ไม่ค่อยได้มาที่ลานหลังบ้านมากนัก และต่อให้มา ก็แค่มาตรวจดูอาหารสัตว์เลี้ยง เสร็จแล้วก็ออกไปโดยไม่เคยสังเกตดูทิวทัศน์ด้านนอกอย่างละเอียดมาก่อน
เนื่องจากบ้านถูกออกแบบให้อยู่ในพื้นที่พิเศษเฉพาะซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นโลกแต่อย่างใด ทิวทัศน์ด้านนอกจึงเป็นทิวทัศน์ที่อยู่กลางอากาศ ให้ความรู้สึกคล้ายกับตอนอยู่บนพื้นที่ที่เทพมังกรผู้มอบอาชีพพาไปในตอนที่ได้อาชีพ
เฉินเฟิงเริ่มโดยการกล่าวขอบคุณตามมารยาทที่สองแสงกล้าช่วยอะไรต่อมิอะไรในช่วงที่ผ่านๆ มา จากนั้นทั้งสองก็เข้าเรื่องกันอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเฉินเฟิงใช้ท่าทีของผู้น้อยขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่สอบถามสองแสงกล้าว่ามีความเห็นอย่างไรบ้างต่อการพัฒนาก้าวถัดไปของสมาพันธ์เฟิง
สองแสงกล้าให้ความเห็นไปหลายข้ออย่างตรงไปตรงมามาก โดยพูดตรงๆ ว่าแผนปรับสมดุลระหว่างกลุ่มพรรคต่างๆ ภายในสมาพันธ์ที่ใช้กันอยู่ในตอนนี้ เป็นแผนที่ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น หากสมาพันธ์เฟิงอยากจะเข้าที่เข้าทางและอยู่ต่อไปนานๆ ละก็ จำเป็นต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้แบบถาวรให้ได้
แต่หลังจากระบุปัญหาออกมาแล้ว สองแสงกล้ากลับไม่ได้เสนอแนะวิธีแก้ไขแต่อย่างใด แถมยังผลักภาระกลับมาให้เฉินเฟิงอีกต่างหาก เพราะอยากรู้ว่าเฉินเฟิงจะจัดการอย่างไร ?
ถึงเฉินเฟิงจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าครั้งนี้สองแสงกล้าคงจะให้บททดสอบอะไรแก่เขาสักอย่างแน่ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าสองแสงกล้าจะเริ่มอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมาขนาดนี้ จะว่าไปแล้วคนที่ไม่พอใจกับสภาพสมดุลภายในสมาพันธ์เฟิงในเวลานี้มากที่สุด ก็คือตัวเฉินเฟิงเองนั่นแหละ แต่เขาเองก็ทราบดีเช่นกันว่าสภาพสมดุลแบบนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเวลานี้
ตอนแรกเฉินเฟิงหลงคิดว่าที่สองแสงกล้าเป็นฝ่ายพูดถึงปัญหานี้ขึ้นมาเพราะคิดจะเสนอทางแก้เสียอีก ใครจะไปนึกว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด เฉินเฟิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำว่า ดูเหมือนสองแสงกล้ากำลังจะหมดความอดทนเสียแล้ว
เป็นเพราะไม่พอใจกับตำแหน่งของตัวเองงั้นหรือ ? แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าสมาพันธ์เป็นตำแหน่งใหญ่ที่สุดรองจากตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์เชียวนะ ในเมื่อสองแสงกล้ายอมมาเข้าสมาพันธ์ อย่างนั้นเรื่องตำแหน่งก็ไม่น่าจะใช่ปัญหา
หรือจะเป็นเพราะไม่พอใจสภาพการณ์ในตอนนี้ ? แต่ดูจากที่เขารักษาความเป็นคนกลาง แถมยังช่วยประนีประนอมอีกต่างหากแล้ว มองไม่เห็นออกเลยว่าเขาไม่พอใจอะไรที่ตรงไหน
หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายเฉินเฟิงก็พูดเนิบๆ ว่า
“ผมไม่ได้คิดที่จะทำลายความสมดุลนี้”
สองแสงกล้าอดตะลึงไม่ได้ เขาเองก็คิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้เอาไว้หลายวิธีเหมือนกัน แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อยทั้งนั้น เพราะเหตุนี้ตัวเขาที่ถือคติขอเป็นผู้จับตาดูจึงอยากที่จะทราบว่า เฉินเฟิงที่ไม่พอใจกับสภาพการณ์ในตอนนี้มากที่สุดคิดจะทำอย่างไร ?
การที่เฉินเฟิงเป็นฝ่ายติดต่อขอคุยกับเขาก่อน แสดงว่าเฉินเฟิงคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง บอกตามตรงว่าสองแสงกล้ารอคอยวันนี้มานานจนแทบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ สิ่งเดียวที่เขาคิดไม่ถึงก็คือการที่เฉินเฟิงตอบกลับมาแบบนี้
สายตาเต็มไปด้วยคำถามของสองแสงกล้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังรอให้เฉินเฟิงอธิบายขยายความ
เฉินเฟิงส่ายศีรษะแล้วถอนใจ หลบสายตาอีกฝ่ายโดยการเบือนหน้าไปมองท้องฟ้าไกลตา สีหน้าบ่งบอกว่าได้จมดิ่งสู่ห้วงภวังค์อีกครั้ง
สีหน้าของสองแสงกล้าค่อยๆ เปลี่ยนจากรอคอยเป็นไม่เข้าใจ แล้วเปลี่ยนเป็นสงสัย สุดท้ายเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด และแล้วก่อนที่สีหน้าของสองแสงกล้าจะเปลี่ยนเป็นเดือดดาล เฉินเฟิงก็เปิดปากพูดเนิบๆ อีกครั้งในที่สุด
“ถึงจะไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่านะหงซฺยง (เฮียกล้า) ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยล่ะว่า ดูเหมือนคุณจะสนอกสนใจมากเลยนะกับเรื่องที่ว่าสมาพันธ์เฟิงที่รวมสารพัดกลุ่มพรรค และมียอดฝีมือมารวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์อยู่เพียบแห่งนี้ จะพัฒนาไปเป็นแบบไหนต่อไปในอนาคต ?” จากนั้นพูดต่อโดยไม่สนใจอาการตกตะลึงของสองแสงกล้า
“ความสมดุลในเวลานี้ของสมาพันธ์เฟิง สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผลจากการยอมรับรู้ร่วมกันของทุกคน ฉะนั้นหากตัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกไปละก็ ผลลัพธ์ที่จะเกิด จะไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องจากไปหรือหายไป แต่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสมาพันธ์เฟิงทั้งสมาพันธ์อาจจะต้องยุบตัวลง
“ถึงผมจะไม่พอใจสภาพการณ์ในตอนนี้ก็ตาม แต่ผมก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวผมเพียงคนเดียวจะสามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้…และในเมื่อไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ งั้นผมจะไปเปลืองแรงเปล่าเพื่ออะไรกันหรือ ?”
ครั้นได้ยินเฉินเฟิงเปิดใจบอกถึงความคิดที่แทบจะเป็นการประนีประนอม สองแสงกล้าก็อดผิดหวังไม่ได้ เพราะไม่ว่าเฉินเฟิงตัดสินใจจะทำอย่างไร มันก็น่าเฝ้ารอยิ่งกว่าการเลือกหนทางนี้ทั้งนั้น
หรือเขาจะพยายามไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ คุณสมบัติพิเศษในฐานะผู้นำของเฉินเฟิงที่เขาเฝ้ารอไม่มีโอกาสที่จะเปล่งประกายออกมาแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ ?
ก่อนที่สองแสงกล้าจะยุติบทสนทนาอย่างสุดเซ็ง เฉินเฟิงก็พลันกล่าวต่อว่า
“การถ่วงดุลที่หงซฺยงกับน้องครุฑอุตส่าห์ช่วยกันคิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าล้มเหลวเสียแล้ว แน่ละว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณสองคนเลยสักนิด ถ้าจะโทษก็ต้องโทษความเอาแต่ใจของผมนั่นแหละ…ความจริงผมเองก็รู้ดีว่า ไอ้ความสงบแค่เปลือกนอกแบบนั้นน่ะ มีแต่จะกดให้ยอดฝีมือภายในสมาพันธ์ไม่สามารถแสดงความสามารถได้เท่านั้น
“เพราะงั้นนะ หงซฺยง ที่ผ่านๆ มาต้องขออภัยด้วยครับที่ต้องให้คุณลดตัวลงไปทำงานแบบนั้น ถ้าคุณยังมีความเชื่อมั่นในตัวผู้น้องหลงเหลืออยู่บ้างล่ะก็ ผมกะจะให้คุณกับน้องครุฑสลับตำแหน่งกัน และจะมอบอำนาจเต็มให้คุณเป็นคนแบ่งกลุ่มให้พวกผู้เล่นมือใหม่ทั้งหมดในสมาพันธ์ ส่วนตำแหน่งหัวหน้าตึก ก็จะให้คุณเป็นคนตัดสินใจเลือกเองด้วย
“นอกจากนี้ ผมคิดจะถอนตำแหน่งหัวหน้าตึกของขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ จากนั้นจะให้เมฆถาโถมฯเป็นคนตัดสินใจเลือกหัวหน้าตึกเอง และจะขอยืมตัวส้มโอจากคุณย้ายไปอยู่ตึกวายุปัญญา สุดท้ายคือประกาศให้สมาชิกทุกคนตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองได้ว่าจะเข้าสังกัดตึกไหน ไม่ทราบว่าหงซฺยงยังจะยอมสนับสนุนผมอยู่อีกหรือเปล่า ?”
สองแสงกล้าตกตะลึงจังงังอีกครั้ง หากทำตามที่เฉินเฟิงว่ามาเมื่อครู่ทั้งหมดละก็ การแบ่งพรรคแบ่งพวกภายในสมาพันธ์จะไม่แค่ไม่หายไปเท่านั้น แต่ต่อไปมันจะยิ่งแบ่งแยกกันชัดเจนมากขึ้นด้วยซ้ำ ! แถมหน้าที่สร้างสมดุลระหว่างแต่ละกลุ่มพรรคซึ่งแสนจะสำคัญและหนักอึ้ง ยังจะตกตุ้บลงใส่หัวเขาอีกต่างหาก !
แต่ทว่า…ในสภาพการณ์ที่ยอดฝีมือจากแต่ละกลุ่มพรรคต่างก็ได้ทำงานในด้านที่ตัวเองถนัดแบบนี้ ทำให้สามารถคาดเดาได้เลยว่า อนาคตของสมาพันธ์เฟิงจะต้องเป็นที่น่าคาดหวังอย่างมาก แค่คิดเขาก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้ว !
หลังจากส่งสองแสงกล้าจากไป เฉินเฟิงก็นอนแผ่หราลงบนเตียง แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างคลึงขมับเพื่อผ่อนคลายอาการปวดศีรษะตุบๆ อันเกิดจากการพบปะพูดคุยกันเมื่อครู่
คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะออนไลน์ได้แค่แป๊บเดียว ก็ต้องมาเจอกับศึกหนักแบบนี้ เขารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ยากลำบากยิ่งกว่าการสู้กับเสือเขี้ยวดาบสามตัวพร้อมกันเสียอีก
สองแสงกล้ารับปากว่าอีก 10 วันให้หลังตามเวลาในเกม เขาจะไปที่เกาะเริ่มต้นเพื่อสับเปลี่ยนหน้าที่กับครุโฬอย่างเป็นทางการ ส่วนเฉินเฟิงจะต้องจัดการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของสมาชิกระดับผู้นำคนอื่นๆ ให้เสร็จสิ้นภายในช่วงเวลาดังกล่าวนี้
ความจริงเฉินเฟิงร่างโครงการพวกนี้เสร็จไปคร่าวๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพียงแต่ยังเหลือรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่ยังไม่กระจ่างดีนัก และยังหาช่วงเวลาเหมาะๆ ที่จะเริ่มดำเนินการไม่ได้
ท่าทีของสองแสงกล้าแสดงออกอย่างชัดเจนมากว่ารอมานานจนชักจะหมดความอดทนแล้ว ทำให้เฉินเฟิงถูกบีบให้จำเป็นต้องตัดสินใจก่อนเวลาที่กะเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเกิดต้องสูญเสียการสนับสนุนจากสองแสงกล้าไปละก็ แผนการทั้งหมดในวันข้างหน้ามีหวังได้แท้งก่อนจะทันได้คลอดแหงๆ
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มาก่อนเวลามิสู้มาได้ประจวบเหมาะ เพราะยังไงในไม่ช้าเขาก็ต้องตัดสินใจอยู่ดี ขืนยังถ่วงเวลาต่อไปอาจทำให้ปรับปรุงสมาพันธ์ไม่ทันเหตุเปลี่ยนแปลงก็ได้ เฉินเฟิงสะบัดศีรษะแรงๆ เขาเคยเชื่อเสมอมาว่าไม่จำเป็นต้องตีตนไปก่อนไข้ พอถึงเวลาปัญหาทุกอย่างมันก็จะคลี่คลายได้เอง และมีความคิดว่าขอแค่ควบคุมทุกอย่างได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกลัวอะไรทั้งสิ้น แถมยังเป็นคนที่ชอบคิดก่อนทำอีกต่างหาก แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ดูเขาชักจะคิดไม่ตกมากขึ้นทุกทีเสียแล้ว ?
เวลานี้ยังมีเรื่องอีกตั้งมากมายที่ต้องจัดการ ใช่ว่าแค่นอนเฉยๆ อยู่อย่างนี้แล้วทุกเรื่องก็จะเป็นไปตามที่หวังเสียเมื่อไร ในเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เฉินเฟิงจึงได้แต่ติดต่อหาครุโฬอีกครั้ง แล้วบอกเล่าเรื่องที่คุยกับสองแสงกล้าเมื่อครู่ให้ฟัง
ปฏิกิริยาของครุโฬไม่ได้ดีไปกว่าสองแสงกล้าสักเท่าไร หลังจากถามย้ำในอาการตกตะลึงไปหลายรอบ ก็โวยวายเป็นการใหญ่ว่าเรื่องสับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญตั้งขนาดนี้ แต่ดันไม่มีการปรึกษาเขาก่อนที่จะตัดสินใจเลย
แน่นอนว่าครุโฬก็เลือกที่จะเห็นด้วยนั่นแหละ เพียงแต่สุดท้ายก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าเมฆถาโถมฯกับขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร โดยเฉพาะขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ เพราะทั้งเจ็ดคนนั้นอุตส่าห์ทุ่มเทให้ตั้งขนาดนี้ เรื่องที่ว่าควรจะปลอบใจคนทั้งเจ็ดอย่างไรดีจึงถือเป็นปัญหาน่ากลุ้มปัญหาหนึ่งทีเดียว
เฉินเฟิงพูดอ่อยๆ ว่า เขาเองก็ถูกสถานการณ์บังคับเหมือนกันนั่นแหละ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้อยากจะเริ่มโครงการนี้เร็วขนาดนี้หรอก แต่ท่าทางคลุมเครือบวกกับอาการเริ่มจะมีใจออกห่างของสองแสงกล้า ทำให้เขาไม่คิดว่าสถานการณ์แบบนี้ยังเหมาะที่จะไม่ทำอะไรลงไปให้ชัดเจนอีกต่อไป
ครุโฬคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จากที่เขารู้จักสองแสงกล้า กล่าวได้ว่าที่ผ่านๆ มาเขามองข้ามท่าทีของอีกฝ่ายเกินไปจริงๆ ซึ่งแน่ละว่าเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการให้ความร่วมมือของสองแสงกล้าเองด้วย
ถึงยังไงเรื่องอะไรที่จะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดี ดังนั้นครุโฬจึงบอกให้เฉินเฟิงไปจัดการเรื่องของเมฆถาโถมฯกับพวกนักเวทและสัตว์ให้ดีๆ ส่วนเรื่องของสองแสงกล้า เขาจะคอยระวังสังเกตให้เอง
สุดท้ายครุโฬกำชับเฉินเฟิงว่า ถ้ายังมีเรื่องสำคัญแบบนี้ให้ตัดสินใจอีก อย่าลืมมาปรึกษาเขาก่อนด้วย ไม่อย่างนั้นขืนทำอย่างนี้อีกล่ะก็ ต่อให้เป็นเขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน
หลังจากยุติการสนทนา เฉินเฟิงได้แต่แอบขอบคุณการสนับสนุนของครุโฬ ต่อไปแม้เขาจะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องคุยกับเมฆถาโถมฯเสียทีแล้ว
แค่คิดถึงอีกฝ่าย เฉินเฟิงก็ชักปวดหัวหนักกว่าเดิม คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ห่างกันไปไม่กี่ปี เขากับไอ้เพื่อนซี้ที่คบหากันมาตั้ง 10 กว่าปี แถมพูดได้ถึงขนาดว่าใส่กางเกงตัวเดียวกันมาจนโตคนนี้ กลับไม่สามารถที่จะไขว่คว้าความรู้สึกเข้าใจกันอย่างที่เคยเป็นกลับมาได้เสียแล้ว
เมื่อไม่ได้เดินบนทางเส้นเดียวกันดังเดิม ความคิดจึงไม่เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่เคย ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นขุนพลนำกำลังคนมาขอสวามิภักดิ์แท้ๆ กลับกลายเป็นยังไม่ทันได้ช่วยกันพิฆาตศัตรู ก็ดันหันมาฟันพวกเดียวกันเองก่อนเสียแล้ว
เพียงแต่เมฆถาโถมฯเป็นฝ่ายผิดจริงๆ หรือ ? แล้วตัวเขาที่ไม่ยอมเผชิญหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ แถบยังแอบฉุดขาอีกฝ่ายอย่างลับๆ อยู่หลายครั้งเล่า ? เขาบีบให้พลพรรคที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องลาออกไป แถมยังเล่นลิ้นแอบตั้งข้อกำหนดขึ้นมาอีกต่างหาก...
แต่นอกจากที่โมโหจัดจนเถียงกันแค่ครั้งเดียวนั่นแล้ว เมฆถาโถมฯก็ยังคงความภักดีและยืนกรานจะช่วยรักษาผลประโยชน์ ชื่อเสียง และบารมีให้เฉินเฟิงอยู่เหมือนเดิม
เมฆถาโถมฯยอมสละคนของตัวเองไป และยอมกล้ำกลืนความอัปยศเห็นพ้องกับการเลือกพวกนักเวทและสัตว์มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าตึก หมอนั่นทำถึงขนาดยอมละเมิดความเคยชินของตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของสมาพันธ์เสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งตอบแทนที่ได้รับกลับเป็นความเย็นชา กีดกัน และเคลือบแคลงของเขา…
เฉินเฟิงเหงื่อแตกพลั่กทันที หากวันนี้เขากับเมฆถาโถมฯสับเปลี่ยนฐานะกันแล้วล่ะก็ เขายอมรับว่าเขาไม่สามารถที่จะเสียสละตัวเองได้มากเท่าหมอนั่นแน่ แล้วเขาอาศัยอะไรไปทำกับหมอนั่นอย่างนั้นไม่ทราบ ? นี่น่ะหรือคือการปฏิบัติที่เพื่อนรักซึ่งคบหากันมานานหลายปีสมควรได้รับ ?
หลังจากปาดเหงื่อเย็นเฉียบออกจากหน้าผาก เฉินเฟิงก็ติดต่อหาเมฆถาโถมฯทางช่องเพื่อนด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ
“เมฆถาโถมฯ ตอนนี้ว่างมั้ย ?”
“ว่าง 30 วิ ผ่านแล้วผ่านเลย !”
“อ๋า ! งั้นอีกเดี๋ยวฉันค่อยติดต่อหานายแล้วกัน”
“แว้ก ! เดี๋ยวก่อน ! คิดว่าใครซะอีก เสี่ยวเฟิง[2]นี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มีเรื่องอะไรเหรอ…หลีกไปเร็ว ให้ฉันเอง…ตายซะเถอะ ! ตาย ! ตาย ! แม่ง ! บอกแล้วว่าเปลี่ยนให้ฉันลงมือเอง พวกนายไม่ได้ยินหรือไงหา ? ว้ากกกก…@#$%*& ลืมเปลี่ยนช่องอีกแล้ว !! เสี่ยวเฟิง !อีกเดี๋ยวฉันค่อยติดต่อหานายนะ ตอนนี้ไม่ว่างจริงๆ บาย !”
นิสัยก็ยังตรงไปตรงมาอยู่เหมือนเดิม นิสัยนี้ของเมฆถาโถมฯนี่ไม่เปลี่ยนเลยแฮะ แต่แบบนี้ความรู้สึกผิดและละอายใจของเฉินเฟิงเลยยิ่งหนักข้อกว่าเก่า เขาต้องหาโอกาสชดเชยให้หมอนั่นให้ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยพวกเพื่อนๆ ของหมอนั่นไปง่ายๆ แบบนี้อยู่ดี
ในเมื่อตอนนี้เมฆถาโถมฯไม่ว่าง เฉินเฟิงจึงได้แต่ติดต่อหาพวกนักเวทและสัตว์ก่อน เขาต้องรวบรวมความกล้ารีบๆ ติดต่อไป เพราะถ้ายังหยุดคิดนานกว่านี้ เขามีหวังสูญเสียความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับพวกนั้นแน่
ถึงแม้หนานอี๋จะเคยโวยวายประท้วงกับเฉินเฟิงมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้งแล้วก็เถอะว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งหัวหน้าตึกนี้มา พวกเขาเจ็ดคนก็ไม่ได้ไปผจญภัยด้วยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ในพวกเขาทั้งเจ็ดคนก็ไม่เคยมีใครเสนอขอถอนตัวจากตำแหน่งนี้กันเลยสักคนอยู่ดี
สำหรับพวกนักเวทและสัตว์ที่ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพ ตำแหน่งหัวหน้าตึกทำให้พวกนั้นต้องลำบากวุ่นวายจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่รายรับที่มาพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าตึกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการไปฆ่าสัตว์อสูรเก็บเลเวล[3]เช่นกัน
พอพวกนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดอุตส่าห์พยายามปรับเวลาจนสำเร็จเพื่อช่วยทำหน้าที่นี้ เขาก็ดันจะให้เจ็ดคนนั้นมอบอำนาจคืนมาเสียนี่ แถมยังไม่มีการปรึกษาเจ็ดคนนั้นล่วงหน้าอีกต่างหาก การที่อยู่ๆ ก็โดนบอกว่าจะขออำนาจคืน ไม่ว่าใครก็คงจะไม่พอใจกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ ?
ทั้งที่เพิ่งจะพูดอยู่หยกๆ ว่าต้องรวบรวมความกล้า แต่พอนิ้วขยับมาถึงนาฬิกาข้อมือของระบบ เฉินเฟิงก็ชักจะลังเล แล้วนึกเรียบเรียงคำพูดอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะตรวจสอบดูว่าตอนนี้ในบรรดานักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคน ใครเป็นคนอยู่เวร
ปรากฏว่าคนที่อยู่เวรในตอนนี้คือหนานอี๋และเฟิงฉิงสองฝาแฝด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มีหนานอี๋ที่เฉินเฟิงสนิทด้วยมากที่สุดอยู่ด้วย แต่เฉินเฟิงก็อดตกใจเล็กน้อยไม่ได้ เพราะตอนนี้เวลาในโลกภายนอกยังเป็นตอนเช้าอยู่เลย ไม่รู้ว่าที่สองคนนั้นอยู่เวรในเวลานี้ได้นี่ ปกติทำงานอะไรกัน ? ไม่รู้ว่าเพิ่งจะเลิกงานหรือวันนี้เป็นวันหยุดพอดี ?
จนถึงตอนนี้เขาค่อยรู้ตัวว่า นอกจากนักเล่นเกมอาชีพไม่กี่คนแล้ว เขารู้เรื่องส่วนตัวของสมาชิกสมาพันธ์คนอื่นๆ น้อยมาก หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่านี้ก็คือ เขาไม่รู้กระทั่งเรื่องส่วนตัวของพวกนักเล่นเกมอาชีพด้วยซ้ำ
การเป็นหัวหน้าสมาพันธ์ของกลุ่มคนที่ตัวเองไม่รู้จัก มันไม่ประหลาดหรอกหรือไง ? แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งทอดถอน หลังจากยิ้มหยันตัวเองแล้ว เฉินเฟิงก็ติดต่อหาหนานอี๋
“หนานอี๋ ผมเฉินเฟิง ตอนนี้เธอว่างหรือเปล่า ?”
“พี่เฟิงเองหรือคะ ตอนนี้ว่างอยู่แล้วค่ะ ฉันกับฉิงสองคนกำลังเข้าเวรอยู่ที่ภัตตาคารเมืองเขี้ยวมังกรน่ะ ปกติเวลานี้ไม่ค่อยจะมีคนหรอก มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“อ่า…ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก ผมอยากจะถามเธอหน่อยน่ะว่า หัวหน้าคมพิรุณจะออนไลน์เมื่อไหร่ ? อีกอย่าง ตอนนี้นานแค่ไหนหรือกว่าพวกเธอเจ็ดคนจะรวมพลกันพร้อมหน้าสักครั้ง ?”
“พี่ฝนหรือคะ ? คงต้องตอนกลางคืนน่ะค่ะพี่เขาถึงจะออนไลน์ พอดีว่าเวลาเข้าเวรของพวกเราไม่ได้กำหนดตายตัวอะไร ปกติก็เลยจะติดต่อกันเองเป็นการส่วนตัวอีกที แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ พี่เขาน่าจะเข้าเวรตอน 4 ทุ่มถึงตี 1 น่ะค่ะ ถ้าพี่เฟิงจะหาตัวพี่ฝน ก็ต้องรออีก 3 วันให้หลังค่ะ ส่วนเรื่องพวกเราเจ็ดคนรวมพลพร้อมหน้านั่น นอกจากวันหยุดแล้ว ปกติจะมีโอกาสน้อยมากค่ะ ถ้าพี่เฟิงมีเรื่องด่วนจริงๆ จะให้ฉันช่วยบอกพี่ฝนให้ไหมคะ ?”
“3 วันหรือ ? ขอบใจนะ ก็ยังไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก จริงสิ เธอกำราบชานมไข่มุกสำเร็จหรือยัง ? คงไม่ใช่ว่าตีมันไม่ลงหรอกนะ ?”
“โอ๊ย ! พูดถึงมันแล้วโมโหเป็นบ้าเลยพี่ ! มันนี่ใจแข็งชะมัดยาด ตั้ง 10 กว่าวันเข้าไปแล้วยังกำราบไม่ได้เลย ถึงจะไม่อยากใช้วิธีข่มขวัญแล้วให้พี่ฝนช่วยกำราบให้ ก็ยังไม่สำเร็จเลยค่ะ จะทำยังไงดีล่ะคะพี่เฟิง ? พี่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า ?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่ได้ลองปล่อยให้มันอดอาหารดูเหรอ ?”
“ทำแล้วค่ะ ! มีหรือจะไม่ได้ลองทำ นานที่สุดน่ะไม่ให้มันกินอะไรตั้ง 2 วันเชียวนะคะ ผลคือมันดันคลั่งจนแทบจะฉุดกันไม่อยู่ไปเลย ตอนนี้ฉันน่ะแทบจะกลายเป็นจอมทารุณกรรมสัตว์อยู่แล้วนะพี่ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะว่างหรือไม่ว่างก็ต้องไปเฆี่ยนมันซัก 2-3 ทีตลอด ดูแล้วน่าสงสารสุดๆ จนฉันจะเฆี่ยนต่อไม่ลงอยู่แล้วนะคะ !”
“หึหึ…น่าปวดหัวจริงแฮะ เธอได้พามันไปไหนมาไหนด้วยตลอดหรือเปล่าล่ะ ? แล้วก็ทักษะสื่อสารของเธออยู่ระดับไหนแล้ว ? ผมคิดว่าสองอย่างนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่นะ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องมานั่งวิจัยกันอีกทีแล้วล่ะ”
จากนั้นหนานอี๋ก็เอาแต่บ่นว่า เพราะเธอต้องรับภารกิจทำหน้าที่ทหารรับจ้าง บวกกับชานมไข่มุกจะคลั่งเป็นบางครั้ง เธอก็เลยพามันไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาไม่ได้
ต่อมาคือ ทุกครั้งที่ไปทารุณกรรมมัน เธอเป็นถูกคนกลุ่มใหญ่ฮาครืนทุกที ทำเอาเธอต้องหลบไปทารุณกรรมมันไกลๆ ซึ่งเสียเวลาไปกลับไม่ใช่เล่น สุดท้ายสัตว์เลี้ยงที่ยังกำราบไม่ได้ โรงรับฝากสัตว์เลี้ยงจะไม่รับฝาก พักนี้เธอเลยแทบจะเป็นบ้าเพราะมันอยู่รอมร่อ
เฉินเฟิงฟังพลางหัวเราะก๊ากไม่ได้หยุด หนานอี๋จึงโวยวายประท้วงว่าเขาใจดำที่สุด และอ้อนว่าเฉินเฟิงต้องหาทางช่วยเธอนะ
หลังจากเฉินเฟิงรับปากว่าจะหาทางช่วยเธอให้ได้แล้ว ก็พลันเปลี่ยนเป็นพูดอย่างเคร่งขรึม
“หนานอี๋ ผมขอถามคำถามที่สำคัญอย่างมากหน่อยนะ และเธอต้องตอบตามความสัตย์จริงด้วยล่ะ”
หนานอี๋งงไป “มีเรื่องอะไรหรือคะพี่เฟิง ! อยู่ๆ ก็ทำท่าจริงจังแบบนี้ฉันก็เครียดแย่สิคะ”
เฉินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ก็เพราะมันสำคัญมากน่ะสิ ! ผมอยากจะถามว่า…สมมุตินะ…สมมุติว่า…ถ้าเธอเลือกได้ เธอจะยอมรับตำแหน่งหัวหน้าตึกวายุประยุทธ์หรือเปล่า ?”
“อะไรนะคะ ? หัวหน้าตึกวายุประยุทธ์ ? หมายถึงฉันคนเดียวน่ะหรือ ?” หนานอี๋ตกใจ “พี่เฟิงกำลังพูดอะไรกันแน่คะ ? ตอนนี้ฉันก็ถือเป็นหนึ่งในหัวหน้าตึกวายุประยุทธ์อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? ทำไมถึงมาถามว่าฉันจะยอมเป็นหรือเปล่าอีกล่ะ ?”
“ไม่ช่ายยย…ตอนนี้เธอก็ต้องเป็นหนึ่งในหัวหน้าตึกวายุประยุทธ์อยู่แล้วสิ ! ผมพูดว่าสมมุติไง…สมมุติว่าถ้าตอนนี้พวกเธอสามารถเลือกได้อีกครั้งโดยไม่ต้องฝืนใจล่ะก็ พวกเธออยากจะเป็นหัวหน้าตึกกันจริงๆ หรือเปล่า ?”
หนานอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยตอบว่า “พวกเราก็ต้องยอมเป็นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ! หรือพี่เฟิงจะถือเรื่องที่พวกเราโวยวายเป็นจริงเป็นจังไปซะแล้ว ? ขอแค่พี่เฟิงต้องการให้พวกเราเป็นหัวหน้าตึกล่ะก็ ฉันเชื่อว่าไม่ว่าจะให้โอกาสได้เลือกกี่ครั้ง พวกเราเจ็ดคนก็ยินดีเลือกตามที่พี่ขออยู่แล้วค่ะ...เอ๊ะ ! ไม่ใช่สิ ! พี่เฟิง...พี่หมายความว่าพี่จะเอาตำแหน่งหัวหน้าตึกคืนใช่หรือเปล่าคะ ?”
เฉินเฟิงร้อนตัวทันที “ไม่ใช่ ! ผม...ผมแค่อยากจะรู้ว่า พวกเธอเจ็ดคนอยากจะเป็นหัวหน้าตึกกันจริงๆ หรือเปล่า หรือที่รับตำแหน่งนี้แค่เพราะอยากจะช่วยผมเท่านั้น เธออย่าคิดลึกสิ...”
หนานอี๋หัวเราะคิก “พี่เฟิงไม่ต้องร้อนตัวหรอกค่ะ ! ในที่สุดพี่ก็ยอมพูดออกมาจนได้ พวกเราน่ะรอวันนี้มาตั้งน้านนานเชียวนะคะ เมื่อกี้พี่ไม่ได้ตั้งใจฟังที่ฉันพูดหรอกหรือคะ ? เมื่อกี้ฉันบอกแล้วไงว่า ‘ขอแค่พี่เฟิงต้องการ’ งั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ พวกเรายินดีช่วยอยู่แล้ว แต่ถ้าตอนนี้พี่ไม่ต้องการแล้วล่ะก็ พวกเราไม่ต้องเป็นหัวหน้าตึกได้ก็ขอไม่เป็นแหงอยู่แล้วค่ะ !”
เฉินเฟิงทำหน้าเหลอ “เธอหมายความว่า...ที่พวกเธอยอมรับตำแหน่งหัวหน้าตึกนี่แค่เพราะอยากจะช่วยผมเท่านั้นเองน่ะหรือ ? แล้วถ้าตอนนี้ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว พวกคุณก็ไม่อยากจะเป็นหัวหน้าตึกต่อแล้ว ? แต่ว่า...”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ! แต่ว่า...แต่ว่าอะไรหรือคะ ? แต่ว่าฉันรู้ได้ยังไงว่าพี่เฟิงคิดจะพูดอะไร ใช่หรือเปล่าคะ ? อันที่จริงตอนที่พี่ฝนหว่านล้อมให้พวกเรารับตำแหน่งนี้น่ะ พี่เขาก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าพวกเราต้องทำตำแหน่งนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่งั้นพวกเราไม่มีทางยอมช่วยหรอกค่ะ เพราะการจัดคิวเข้าเวรน่ะลำบากจะตาย แถมยังไปผจญภัยกับทุกคนไม่ได้ด้วย ฉันงี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว แล้วนี่พี่เฟิงจะส่งคนมารับตำแหน่งนี้แทนพวกเราเมื่อไหร่หรือคะ ?”
หลังจากถามยืนยันซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจความหมายของหนานอี๋ผิดพลาดแล้ว เฉินเฟิงก็ถึงกับเอ๋อไปพักใหญ่
นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนักเวทและสัตว์ไม่ได้นึกอาลัยอาวรณ์กับตำแหน่งหัวหน้าตึกเลยแม้แต่น้อย แถมคมพิรุณยังคาดการณ์เรื่องนี้ได้ล่วงหน้าแต่แรก และปรึกษากันล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงอีกต่างหาก
ไอ้เขาหรือหลงกังวลไปเองแท้ๆ...มีเพื่อนอันแสนประเสริฐที่ทั้งรู้และเข้าอกเข้าใจเขาดีถึงขนาดนี้ นอกจากนึกขอบคุณแล้ว เขายังจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า ?
[1] 4 วันแห่งการฝึกหฤโหดคือ 4 วันที่พวกรองหัวหน้าสมาพันธ์และหัวหน้าตึกพากันจงใจเอางานมากองสุมให้เฉินเฟิงทำซึ่งได้กล่าวถึงในเล่ม 5 ตอนที่ 8
[2] เสี่ยวเฟิง : เสี่ยว เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อผู้ที่อายุเท่ากันหรือน้อยกว่าอย่างสนิทสนมหรือเอ็นดู แปลคล้ายๆ เฟิงน้อย , ลูกเฟิง หรือหนูเฟิง ก็ได้ทั้งนั้น
[3] เก็บเลเวล (เก็บ level) คือ “ฝึกวิชา” ซึ่งก็คือการฆ่าสัตว์อสูรเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ที่ต้องนำมาใช้ในการเลื่อนระดับ