โพสต์เมื่อ 10 พ.ค. 2557, 15:36
บทที่ 2
สมัยเฟิ่งจิ่วยังเด็ก เนื่องจากอาเตียอาเหนียงของนางคิดจะอยู่ในโลกของสองเราต่อไปอีกสักระยะ รังเกียจว่านางเกะกะ จึงมีอยู่ช่วงใหญ่มากที่ล้วนแต่เอานางไปทิ้งให้ป๋ายเฉี่ยนกูกูของนางเลี้ยงดู อยู่กับกูกูท่านนี้ เรื่องปีนต้นไม้จับนกลงแม่น้ำจับปลา เฟิ่งจิ่วทำมามิใช่น้อย มีอยู่ครั้งหนึ่งยังฉวยโอกาสที่เสี่ยวซูของนางสัปหงก จับนกจิงเว่ยที่ท่านเลี้ยงถอนขนเสียเกลี้ยงเกลา
ด้วยเห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้ของเฟิ่งจิ่วเทียบกับเรื่องบัดซบที่ตนเองกระทำเมื่อสมัยยังเด็กแล้ว ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ตลอดมาป๋ายเฉี่ยนจึงลืมตาข้างหลับตาข้าง
ตอนที่ป๋ายเฉี่ยนอบรมเลี้ยงดูเฟิ่งจิ่ว ได้เป็นเทพเซียนที่ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่ บุคลิกเคร่งขรึมสำรวม ความรอบรู้ก็ลึกล้ำไพศาลแล้ว มักจะสอนเฟิ่งจิ่วเรื่องหลักในการวางตัวและจัดการเรื่องราวอยู่เสมอ อาทิเช่น ป๋ายเฉี่ยนเคยสอนเฟิ่งจิ่วว่า การเป็นเทพเซียน สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ไม่กลัวขายหน้า” เพราะ “ไม่กลัวขายหน้า” คือความกล้าหาญประเภทหนึ่ง มอบขวัญกำลังใจในการย่างก้าวแรกออกไปแก่คนผู้หนึ่ง จะทำเรื่องใดสักเรื่อง ขอเพียง “ไม่กลัวขายหน้า” ยืนหยัดอดทนไม่ยอมแพ้พ่าย สุดท้ายก็จะประสบความสำเร็จ
ต่อมา ในระหว่างที่เฟิ่งจิ่วคะยั้นคะยอให้กำลังใจก้อนแป้งเข้าแย่งสิทธิ์ในการนอนเป็นเพื่อนเหนียงชินกับฟู่จวินของเขา ได้สบถสาบานหนักแน่นถ่ายทอดหลักการนี้ให้แก่ก้อนแป้ง
“การเป็นเทพเซียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ‘หน้าด้าน’ ถ้า ‘หน้าด้าน’ เสียอย่าง กระทำเรื่องใดล้วนประสบความสำเร็จได้”
คืนนั้น ก้อนแป้งได้กล่าวทวนถ้อยคำนี้เหมือนเดิมทุกพยางค์ให้ป๋ายเฉี่ยนฟัง แล้วกำหมัดเล็กๆ พูดว่าต้องขอคำชี้แนะจากเหนียงชินสักหน่อยว่าแบบไหนที่เรียกว่า “หน้าด้าน” และต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นหน้าด้านยิ่งกว่าฟู่จวิน ป๋ายเฉี่ยนวางน้ำแกงเม็ดบัวที่จะยกไปเป็นมื้อดึกให้เยี่ยหัวที่ห้องทำงานลง รื้อค้นภายในตำหนักฉางเซิงจนทั่ว เลือกคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาได้หลายมัดหนาๆ บรรจุอย่างมั่นคงไว้บนรถไม้กระดานคันหนึ่ง ฉวยโอกาสยามราตรีอันขมุกขมัวขนไปให้แก่เฟิ่งจิ่ว สั่งความเสียงเรียบเรื่อย หากก่อนตะวันตกดินวันพรุ่งนี้คัดไม่เสร็จ จะจัดงานเลี้ยงดูตัวสายน้ำไหล[1]จากยามสนธยาไปจนถึงฟ้าสางให้นาง
เฟิ่งจิ่วที่กำลังนอนหลับเพลินถูกน่ายน่ายสาวใช้ของป๋ายเฉี่ยนเขย่าปลุกจนตื่น ค่อยๆ ตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ เบิ่งตาแทบถลนจ้องคัมภีร์พระไตรปิฎกตรงหน้า หลังจากนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกลางวันซี้ซั้วพูดอะไรกับก้อนแป้งไป ก็นึกเจ็บใจจนน้ำตาไหลพรากเป็นสายธาร
ยามสนธยาวันถัดมา เฟิ่งจิ่วซึ่งล้อมรอบด้วยคัมภีร์พระไตรปิฎกชั้นแล้วชั้นเล่าถูกเหล่าเซียนรับใช้แบกไปที่อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์[2]ของสวรรค์ชั้นสามสิบสอง
ภายในอุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ปลูกต้นไร้กังวลอยู่ทั่วไป บนต้นอันสูงใหญ่ออกดอกงามประหลาดสารพัดชนิด แต่เดิมคือสถานที่ซึ่งเต้าเต๋อเทียนจุนแห่งแดนสวรรค์ชั้นไท่ชิงถ่ายทอดหลักธรรมวิชาความรู้ วิสัชนาคลายข้อกังขาแก่ปวงศิษย์
เทพเซียนหนุ่มจากทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนจับกลุ่มกันบ้างสามบ้างห้าแต้มประดับอยู่ในสวน ทอดสายตามองไป ร้อยกว่าคนนั้นถึงอยู่ บางคนที่สุขุมเยือกเย็นกำลังสนทนาเบาๆ กับสหายร่วมงาน บางคนที่ใจร้อนได้เงยหน้าจ้องมองเหม่อมาทางประตูสวน
2-3 คนนั้นจัดการได้ง่ายดาย 4-5 คนก็ยังพอฝืนใจได้ แต่ร้อยกว่าคนนี่...ในใจเฟิ่งจิ่วนึกขยาด ต่อให้นางขวัญกล้าเสมอมา ยามเท้าแตะพื้น ยังต้องเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว...ค่อยถอยอีกก้าว...แล้วถอยอีกก้าว ไม่ห่างออกไปนัก เสียงคล้ายจะยิ้มของป๋ายเฉี่ยนได้ดังขึ้น กล่าวกับเซียนรับใช้ที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้างว่า
“เอ...ข้าว่า จับนางมัดเสียจะดีกว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องฝืนอยู่จนจบงานเลี้ยงดูตัวครั้งนี้ให้ได้ ห้ามหนีกลางคันเด็ดขาด”
ในใจเฟิ่งจิ่วกระตุกแรง หันกายกลับชักเท้าเผ่นหนีทันที
เหินบินวิ่งแล่นตามชายคาและสันกำแพงไปตลอดทาง ประลองปัญญาและความกล้ากับเซียนรับใช้ที่ด้านหลัง สลัดพวกนั้นหลุดไปได้ตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่ตัวเฟิ่งจิ่วเองก็ไม่ทราบ ทราบเพียงว่าเลี้ยวผ่านต้นสาละสองต้นที่ขึ้นติดกันซึ่งมีกิ่งใบดกหนา กิ่งสาละไหวสะเทือนไปชั่วครู่ ดอกกระจิริดสีเหลืองอ่อน 2-3 ดอกร่วงตกลงบนผมของนาง ข้างหลังไม่มีเสียงลมแรงและเสียงไล่ตามโจมตีอีก
นางหอบหายใจเบาๆ ปรายตามองเส้นทางขามา ไม่มีเงาคนแล้วจริงๆ เห็นเพียงคงคาสวรรค์ทอดยาวเหยียด สะท้อนประกายเลื่อมระยับเป็นระลอกอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงสีทอง
เภทภัยเกิดจากปาก ถูกปากนี้พาจนต้องคัดพระไตรปิฎกตั้งหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน มายามนี้ได้เห็นต้นสาละสองต้นตรงหน้า ในศีรษะกลับมีแต่ข้อความจำพวก “ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ ณ ใต้ต้นสาละทั้งคู่แห่งสาลวันอุทยาน กรุงกุสินารา ใกล้ดับขันธ์ปรินิพพาน” ที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ “ฑีฆนิกาย”[3] ทั้งสิ้น
เฟิ่งจิ่วยื่นมือไปแหวกดอกไม้ดกหนาที่เหนือศีรษะออกจากกัน ถอนหายใจอยู่เฮือกๆ ว่ากระทั่งถ้อยคัมภีร์ที่แสนยากปานนี้ยังอุตส่าห์จำได้แล้ว การคัดพระไตรปิฎกในหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ถือว่าไม่ได้คัดโดยสูญเปล่า เพิ่มพูนความรู้เป็นอย่างมาก พลางก็หันมองรอบด้าน ขบคิดว่าแล่นหนีมาเป็นนาน ทั้งเหนื่อยล้าทั้งสกปรกไปทั้งตัว อ่อนเปลี้ยเพลียแรงนัก ควรจะเปลื้องผ้าอาภรณ์ลงไปแช่ในน้ำพุสวรรค์ด้านหลังต้นสาละคู่ดีหรือไม่
หญิงสาวใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน
เบื้องหน้าสายตาจันทร์กระจ่างลอยขึ้นทางตะวันออก แม้มิได้ขึ้นสูงมากนัก ไม่อาจเทียบเทียมดวงจันทร์ที่ปวงมนุษย์โลกทอดตามองแล้วบังเกิดอารมณ์กวี กระนั้นยามรัศมีสีเงินเย็นตาทอทาบลงปกคลุม ก็พอจะฝืนใจสาดส่องภูเขาศิลาแมกไม้มาลีที่เบื้องหน้าสายตาจนครบถ้วนอยู่ดี ห่างออกไปไม่กี่ก้าว น้ำสีมรกตของสระปกคลุมด้วยไอหมอกลอยเวียนวน ทั้งยังมีปราณเซียนอับอบอุ่นเอ่อท้นออกมาเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วกวาดตามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวังอีกครั้ง คาดคะเนว่าผ่านยามซวี[4]มาแล้ว น่าจะไม่มีใครคนใดมาอีก จึงแล่นไปยังริมสระน้ำพุยื่นมือลงไปหยั่งดูก่อน ค่อยเปลื้องเสื้อตัวนอก ตัวกลาง และตัวในอย่างวางใจ ย่างเท้าลงสู่สระน้ำพุใสตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
เกาะริมสระทิ้งตัวจมดิ่งลงไป น้ำอุ่นจัดของสระจมขึ้นมาถึงลำคอ เฟิ่งจิ่วถอนหายใจอย่างแสนสบาย มองดูดอกสาละ 2-3 ดอกที่ลอยเอื่อยๆ มาถึงข้างมือ อารมณ์ขี้เล่นซึ่งนางข่มกลั้นมานานถูกกระตุ้นขึ้นทันควัน ขณะจะเก็บมาร้อยเป็นพวง พลันได้ยินที่ด้านหลังศิลายักษ์สีขาวซึ่งอยู่ภายในสระมีเสียง “ซ่า” ของน้ำดังขึ้น
ท่อนแขนช่วงหนึ่งของเฟิ่งจิ่วที่ยื่นพ้นผิวน้ำออกไปเก็บดอกสาละ แข็งค้างอยู่กลางอากาศในบัดดล
น้ำสีมรกตของสระไหวกระเพื่อม กวนแสงจันทร์ทั้งผิวสระแตกสลาย หลังศิลายักษ์พลันมีเงาร่างในชุดขาวเลี้ยวออกมา เฟิ่งจิ่วกลั้นหายใจ มองเห็นเงาร่างในชุดขาวนั้นเดินอยู่ในน้ำ ใกล้เข้ามาทุกที ท่ามกลางม่านหมอก ค่อยๆ ปรากฏเรือนผมสีเงินขาวพร่างสุกสว่าง ร่างสูงเพรียวได้ส่วน และเค้าหน้าที่รูปงามเป็นอย่างยิ่ง
เฟิ่งจิ่วแนบกายแน่นสนิทกับขอบสระ แม้ว่าใบหน้าจะค่อนข้างหนาเสมอมา ยามนี้ยังคงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สีหน้าเขียวคล้ำสลับซีดขาวอยู่อึดใจใหญ่ จะดีจะชั่วก็เป็นถึงกษัตรีย์แห่งชิงชิว จึงข่มสติให้เยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังคิดจะทำให้ดูเป็นเรื่องปกติ ปกติถึงขั้นสามารถกล่าวทักทายอีกฝ่ายได้อย่างปลอดโปร่ง
แต่ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ ควรจะกล่าวทักทายอย่างไรดี ก็เป็นวิชาหนึ่งอันพึงศึกษาเช่นกัน หากพบกันในสถานที่ชมดอกไม้ ยังพอจะกล่าวทักทายได้ว่า “วันนี้อากาศดียิ่ง ตี้จวินก็มาชมดอกไม้ที่นี่เหมือนกันหรือ?” ยามนี้ย่อมไม่อาจโบกแขนเปลือยล่อนจ้อน ร้องทักได้ว่า “วันนี้อากาศดียิ่ง ตี้จวินก็มาอาบน้ำที่นี่เหมือนกันหรือ?”
เฟิ่งจิ่วครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้มอยู่ในใจว่าจะกล่าวเปิดฉากสนทนาครั้งนี้อย่างไรดี พลันเห็นว่าตงหัวได้ก้าวเดินอย่างปลอดโปร่งเยือกเย็นไปจนถึงขอบสระเยื้องออกไปด้านหน้า กำลังจะก้าวออกจากน้ำพุสวรรค์ ตลอดเวลานี้ สายตามิได้เหลือบแลมาทางใบหน้าของนางแม้แต่น้อย
เฟิ่งจิ่วคิดว่า บางทีเขาอาจจะมิได้มองเห็นนาง อย่างนั้นครั้งนี้ ก็ไม่นับว่าทำขายหน้าต่อหน้าเขาแล้วกระมัง?
กำลังจะลอบถอนหายใจโล่งอก เท้าข้างที่ก้าวขึ้นฝั่งของตงหัวกลับชะงักไปชั่ววูบ พริบตานั้น เสื้อตัวนอกพลันเลื่อนหลุดคลุมลงใส่ศีรษะนาง
พร้อมกันนี้ นางได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหน้าไม่ห่างออกไปนัก เหมือนจะเป็นเหลียนซ่งจวิน ดูราวกับหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างกระอักกระอ่วนยิ่ง
“เอ้อ...รบกวนแล้วๆ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จะออกไปเดี๋ยวนี้ละ”
หญิงสาวกระตุกเสื้อคลุมสีขาวของตงหัวลงจากศีรษะอย่างตกตะลึง ตำแหน่งที่สายตามองไปเห็น ข้างประตูวงเดือน ต้นไร้กังวล 2-3 ต้นโยกไหวแช่มช้าอยู่ใต้แสงจันทร์
ตงหัวสวมเพียงชุดจงอี ยืนอยู่ริมขอบสระก้มหน้าลงพินิจมองนาง อึดใจใหญ่ค่อยเอ่ยว่า
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“อาบน้ำ” หญิงสาวกล่าวตอบอย่างระมัดระวังตามความสัตย์ ใบหน้าถูกน้ำอุ่นจัดของสระรมจนเป็นสีชมพูระเรื่อ
ตอบเสร็จแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าแม้น้ำในสระนี้จะเป็นสีมรกต กลับใสเสียจนมองเห็นก้นสระ สีแดงเข้มพลันฉีดซ่านจากพวงแก้มแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงอึดใจร่างทั้งร่างเหมือนถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำเดือด ตะกุกตะกักว่า
“ท...ท่านหลับตาลงซะ ห้ามดูนะ ไม่สิ หันหลังไปซะ รีบหันหลังไปเร็ว”
ตงหัวพินิจดูนางจากศีรษะจรดเท้าอย่างอ้อยอิ่งอีกรอบ ก่อนจะหันหลังให้อย่างมีมารยาทยิ่ง
เฟิ่งจิ่วตะลีตะลานยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าที่เมื่อกี้นี้ถอดไว้ข้างสระ แต่ตอนที่ถอดมิได้คาดคิดว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จากเสื้อตัวนอกถึงเสื้อตัวใน ล้วนวางไว้ไกลไม่ใช่น้อยๆ ทั้งสิ้น หากจะคว้าให้ถึงเสื้อตัวในที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่น ร่างกายกว่าครึ่งต่างต้องโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
นางไม่ทราบควรทำอย่างไรดี สับสนลนลานเป็นที่ยิ่งจริงแท้ กลับลืมเสียได้ว่าเดิมทีตนนั้นคือสุนัขจิ้งจอก หากยามนี้เปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิม ตงหัวย่อมจะเอาเปรียบนางไม่ได้แม้แต่น้อย
ขณะที่นางยังคงร้อนใจ ก็มองเห็นมือข้างหนึ่งกุมกระโปรงขาวของนาง ค่อยๆ ยื่นมาตรงหน้านาง นิ้วมือเรียวยาว เล็บมนได้รูป ตงหัวยังคงหันข้างให้ นางเหลือบมองใบหน้าของเขาอย่างระแวดระวัง ขนตาดกหนาพริ้มเข้าหากัน ยังดี...ดวงตาของเขายังคงปิดอยู่ ขณะจะรับกระโปรงมา นางก็ตกใจอีกครั้ง
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าจะสวมเสื้อผ้า?”
ในยามปกติเพื่อมิให้ลบหลู่ต่อฐานะกษัตรีย์แห่งชิงชิว นางจะแสร้งวางตัวใจกว้างเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ ยามนี้เมื่อเผยนิสัยคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ออกมา จึงค่อยเหมือนเทพธิดาสาวน้อยที่ร่าเริงในที่สุด
ตงหัวชะงักเล็กน้อย ทำทีจะหดมือเก็บเสื้อผ้ากลับคืน อย่างไรเฟิ่งจิ่วก็มิได้ใจแข็งเช่นถ้อยคำที่กล่าว ใช้ความเร็วประมาณเสือดาวตะครุบละมั่งแย่งกระโปรงกลับมาทันควัน ตะลีตะลานอาศัยน้ำในสระช่วยบังไว้ครึ่งๆ รีบสวมเข้ากับตัว เสียงดังสวบสาบครู่หนึ่งก็สวมเสร็จก้าวออกจากสระ รู้สึกเพียงขายหน้าเสียย่ำแย่ไม่เหลือชิ้นดี กระทั่งคำลายังคร้านจะกล่าว ก็ทำท่าจะกระโดดข้ามกำแพงออกไปจากที่นี่ย้อนสู่เส้นทางเดิมเมื่อขามา
กลับถูกตงหัวเรียกไว้อีกครั้ง
“นี่ เจ้าลืมของไปชิ้นหนึ่ง”
นางหันกลับไปอย่างลืมตัว เห็นตงหัวกำลังก้มลงเก็บอะไรสักอย่าง เพ่งสมาธิมองไป นางรู้สึกว่าเลือดทั้งร่างได้พุ่งขึ้นสู่ศีรษะจนหมดสิ้น
ของที่ตงหัวเก็บขึ้นมา...คือเอี๊ยมตัวหนึ่ง
เอี๊ยมสีบัว
เอี๊ยมของนาง
สาบเสื้อของตงหัวเปิดอ้าเล็กน้อย เผยกระดูกไหปลาร้าอยู่รำไร กุมเอี๊ยมของนางไว้ด้วยสีหน้าเรียบสนิท ยื่นให้นางอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เฟิ่งจิ่วรู้สึกว่าฟ้าดินพลิกตลบจริงแท้ ไม่ทราบว่าไปรับดี หรือไม่รับดี
ขณะที่กำลังนิ่งค้างคุมเชิงกัน ต้นไร้กังวลที่ข้างประตูวงเดือนได้สั่นไหวรุนแรง ตามติดด้วยปรากฏเงาร่างสง่างามกรุ้มกริ่มของเหลียนซ่งจวินขึ้น ครั้นเห็นสีหน้าของคนทั้งสองชัดเจน เงาร่างสง่างามกรุ้มกริ่มแข็งทื่อในบัดดล อึดใจใหญ่...กล่าวด้วยมุมปากกระตุกว่า
“เมื่อครู่...ทำพัดตกไว้ที่นี่ ข้าย้อนกลับมาเก็บ รบกวนอย่างมาก วันหน้าจะไปเยือนขอขมาอย่างสุดซึ้ง พวกท่าน...เชิญต่อเถิด...”
เฟิ่งจิ่วอยากจะร้องไห้เต็มที เอามือปิดหน้าคว้าหมับแย่งเอี๊ยมกลับมา กลับหลังหันกระโดดข้ามกำแพงแล่นฉิวจากไป นำพาสายลมอ่อนจางปัดแหวกดอกสาละที่บานสะพรั่งบนต้นออกจากกันแถบใหญ่
เหลียนซ่งกระตุกมุมปากต่อไป มองดูตงหัว “เจ้าไม่ตามไปรึ?” ก่อนจะกล่าวว่า “หญิงงามที่เจ้าได้พบบนแท่นแบกฟ้านางนั้นที่แท้คือเฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิวดอกรึ?” แล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดดูให้ดีละ หากเจ้าแต่งนางเป็นตี้โฮ่ว ต่อไปจะต้องน้อมเรียกเจ้าหนูเยี่ยหัวว่ากูฟู่เทียวนะ...”
ตงหัวจัดสาบเสื้ออย่างไม่รีบไม่ร้อน ได้ฟังความ กล่าวว่า
“ไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินข่าวเล่าลือเรื่องหนึ่ง บอกว่าเจ้ามีใจต่อเฉิงอวี้หยวนจวิน?”
เหลียนซ่งรวบเก็บพัดจีบ “เรื่องนี้...”
ตงหัวกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าอีก 2-3 วันจะรับเฉิงอวี้เป็นบุตรีบุญธรรม เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เหลียนซ่ง “......”
ตลอดมาเฟิ่งจิ่วเป็นเทพเซียนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องปลีกย่อย แต่อุปนิสัยเช่นนี้นั้น เมื่อเกิดนึกสนใจเรื่องปลีกย่อยขึ้นมานานๆ ครั้ง เรื่องปลีกย่อยนี้กลับสร้างปมด้อยใหญ่โตมิใช่น้อย บาดแผลของนางจะสาหัสสักเพียงไร พอจะเป็นที่คาดเดาได้
เรื่องระหว่างนางกับตงหัวเรื่องนี้ เฟิ่งจิ่วได้รับบาดแผลสาหัสอย่างยิ่ง หมดอาลัยตายอยากอยู่ในตำหนักชิ่งอวิ๋นของก้อนแป้งถึงสองวันเต็มจึงค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้าง แต่จะอย่างไรก็ยังคงเหลือปมติดค้างอยู่ในใจ วาดหวังให้มีใครมาช่วยคลายปมในใจนาง ป๋ายเฉี่ยนนั้นไม่ได้ดอก
ด้วยเหตุนี้ เฟิ่งจิ่วจึงไปถามก้อนแป้งโดยยกตัวอย่างอย่างลังเลว่า
“สมมุติว่าเจ้าเคยชอบกูเหนี่ยงผู้หนึ่ง หลายปีให้หลังเจ้าได้พบกูเหนี่ยงผู้นี้อีกครั้ง” นางหยุดคิด ควรใช้เรื่องใดมาเปรียบเทียบดีหนอถึงจะเหมือนจริงมากพอ เนิ่นนาน...กล่าวเสียงเครียดว่า “แต่แล้วนางกลับได้ทราบว่าตอนนี้เจ้ายังคงใส่ผ้าอ้อมอยู่ เจ้าจะทำอย่างไร?
ก้อนแป้งขึงตาใส่นางเถียงว่า “ข้าเลิกใส่ผ้าอ้อมมาตั้งนานแล้ว!”
เฟิ่งจิ่วปลอบน้องชายอย่างเคร่งขรึม “ข้าพูดว่าสมมุติไง...สมมุติ”
ก้อนแป้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อ เบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างยากจะทำใจ กล่าวอย่างกระดากอายว่า
“น่าขายหน้าเหลือเกิน น่าขายหน้าขนาดนี้ มีแต่เรื่องแบบเฟิ่งจิ่วเจี่ยเจียได้พบอดีตชายในดวงใจ แต่แล้วกลับทำเอี๊ยมตกใส่ตรงหน้าเขาเท่านั้นที่เทียบกันได้” กระดากอายต่อไป แล้วกล่าวอย่างดิ้นรนเล็กน้อยว่า “หากเป็นแบบนั้น จะต้องอยากหาเต้าหู้สักก้อนมาโขกหัวตัวเองให้ตายไปเสียเป็นแน่”
หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วที่ค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้างก็หมดอาลัยตายอยากต่อเนื่องไปอีก 3-4 วัน
จวบจนคืนที่สี่ เซียนรับใช้ที่ป๋ายเฉี่ยนส่งมาได้ถ่ายทอดถ้อยคำต่อเฟิ่งจิ่วว่า บรรดานักร้องนางรำที่แสดงงิ้วบนแท่นแบกฟ้าเมื่อไม่กี่วันก่อนได้พักผ่อนพรักพร้อมแล้ว ตกค่ำจะเปิดแสดงงิ้วเรื่องใหม่ “ยอดวีรสตรี” ที่อุทยานประชันประกาย[5] มาชวนเฟิ่งจิ่วไปชมด้วยกัน ด้วยเหตุนี้จึงค่อยเชิญเฟิ่งจิ่วออกมาจากตำหนักชิ่งอวิ๋นที่อึมครึมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความทุกข์จนได้
ภายในอุทยานประชันประกาย บนเวทีงิ้วที่สร้างขึ้นใหม่ แม่ทัพหญิงขบวนหนึ่งแต่งกายฉูดฉาดบาดตา กำลังขับร้องแสดงกันเป็นที่ครึกครื้น
ป๋ายเฉี่ยนกุมพัดจีบผ้าไหมขาวเล่มหนึ่ง เอนกายมาใกล้เฟิ่งจิ่ว กล่าวว่า
“ไม่กี่วันมานี้ บนสวรรค์มีเรื่องเล่าลือที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งกำลังเล่าลือกันไปทั่ว ไม่ทราบว่าเจ้าได้ยินได้ฟังบ้างหรือไม่” กระแอมหนึ่งที “แน่นอนว่าความจริงแล้ว ข้าไม่ได้กระตือรือร้นสนใจต่อเรื่องนี้เป็นพิเศษ”
เฟิ่งจิ่วประคองถ้วยน้ำชาชะโงกเข้าหาอย่างคึกคักสนใจ หยุดไปชั่วครู่ กล่าวอย่างรู้กาลเทศะว่า
“ดูออกได้ว่า ท่านไม่กระตือรือร้นจริงๆ ความจริงข้าเองก็ไม่กระตือรือร้นเช่นกัน แต่ว่า...ท่านลองเล่าดูก็ได้”
ป๋ายเฉี่ยนพยักหน้า กล่าวเนิบช้า
“จริงแท้ เราสองคนต่างมิใช่ผู้ที่ชอบกล่าวนินทาผู้อื่น เช่นนั้นเจ้าต้องคาดคิดไม่ถึงเป็นแน่ มหาเทพตงหัวที่กาลก่อนข้ากับเจ้าต่างเข้าใจตลอดมาว่าเป็นผู้เที่ยงธรรมอย่างยิ่ง แท้จริงก็ไม่อาจดูจากหน้าตา ที่เจ้าสะบั้นวาสนากับเขาในครั้งนั้นเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ข้าดูว่าเป็นเพราะสวรรค์ทรงคุ้มครองเจ้า ช่างสะบั้นได้สมควรแท้ๆ”
เฟิ่งจิ่วเงยหน้าขึ้นอย่างเคร่งขรึม
ป๋ายเฉี่ยนปอกเมล็ดท้อเมล็ดหนึ่ง “ฟังว่า เขากลับเก็บเซียนสตรีซึ่งงดงามปานมัจฉาจมวารีปักษีตกนภานางหนึ่งไว้ในวังไท่เฉินกงตลอดมา ทั้งยังโปรดปรานเซียนสตรีนางนั้นเป็นยิ่งนัก”
เฟิ่งจิ่ววางถ้วยชาในมือลง อึดใจใหญ่ หลุบตากล่าวว่า
“เช่นนี้เป็นว่า ที่หลายปีนี้เขาไม่เคยออกมานอกวังไท่เฉินกง เป็นด้วยเหตุนี้เองดอกหรือ?” แล้วคลี่ยิ้ม “จริงอยู่ดอก ข้างกายมียอดพธูคอยเคียงคู่ ไม่ออกนอกวังก็คงไม่รู้สึกเหงาอะไรนัก”
ป๋ายเฉี่ยนส่งเมล็ดท้อที่ปอกได้ครึ่งหนึ่งไปให้ “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากดอก อย่างไรเจ้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว ที่ข้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ก็มิใช่เพื่อจะทำให้เจ้าทุกข์ใจ”
เฟิ่งจิ่วกระตุ้นอารมณ์ให้สดชื่น ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า
“ไม่ทราบว่าผู้ที่เขาต้องตาคือใครกัน”
ป๋ายเฉี่ยนทำเสียง “อืม” แล้วกล่าวว่า “ข้าไปสอบถามเทพชะตามาแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่ได้ไปสอบถามโดยเฉพาะเช่นกัน ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากมายนัก เพียงแต่ ด้านเทพชะตาเองก็ไม่ได้ข่าวอะไรเช่นกัน ถึงแม้เทพเซียนเหล่านี้จะแอบลือกันเอาเองอย่างคึกคัก และต่างคนต่างก็คาดเดาถึงเซียนสตรีนางนั้น แต่ตงหัวไม่ได้เข้ากับเรื่องประเภทสายลมจันทราเอาเสียเลย นอกจากองค์หญิงจือเฮ่อน้องสาวบุญธรรมของเขา พวกนั้นก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่ายังจะมีใครอีก แต่ว่า...ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหลายปีมานี้จือเฮ่อล้วนแต่รับโทษอยู่ในพิภพเบื้องล่าง จากที่ข้าดู ไม่น่าจะเป็นนางเสียละมาก”
เฟิ่งจิ่วประคองถ้วยชา ฟังอย่างใจลอย
ป๋ายเฉี่ยนดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอหนึ่งคำ แล้วกล่าวอีกว่า
“เกี่ยวกับเซียนสตรีนางนั้น เรื่องที่แน่นอนความจริงแล้วก็มีแค่เรื่องเดียวนั่นเท่านั้น พูดกันว่าเมื่อ 6-7 วันก่อนตอนที่ตงหัวพานางแช่น้ำพุร้อนในวังไท่เฉินกงด้วยกัน บังเอิญถูกเหลียนซ่งจวินบุกฝ่าเข้าไปพบเห็นเข้าพอดี เพราะเหตุนี้เรื่องเล่าข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงได้รั่วไหลออกมาเล็กน้อย”
ป๋ายเฉี่ยนเพิ่งจะกล่าวจบ เฟิ่งจิ่วก็หัวทิ่มตกลงมาจากม้านั่งหิน เอามือค้ำพื้นกล่าวว่า “...แช่น้ำร้อน?”
ป๋ายเฉี่ยนก้มหน้าลงมองหลานสาวอย่างประหลาดใจ กล่าวอย่างเหมือนได้พบผู้รู้ใจว่า
“เจ้าก็ตกใจเหมือนกันรึ? ข้าเองก็ตกใจมากเหมือนกัน เมื่อวานซืนยังมีข่าวลือใหม่อีกข่าว กล่าวแบบวิเคราะห์ได้ละเอียดมีเหตุผลเทียวละ น่าเชื่อถืออยู่บ้างเหมือนกัน เฉิงอวี้หยวนจวินที่เหลียนซ่งจวินมีใจให้ผู้นั้น เจ้ารู้จักกระมัง? เมื่อก่อนตอนที่ข้าไม่ได้อยู่กับก้อนแป้ง โชคดีนักที่ได้หยวนจวินผู้นี้ช่วยดูแลให้ ฟังว่าความจริงแล้วเฉิงอวี้หยวนจวินผู้นี้ ก็คือบุตรีนอกสมรสของมหาเทพตงหัวกับเซียนสตรีนางนั้น”
เฟิ่งจิ่วจับขอบโต๊ะช่วยพยุง เพิ่งจะปีนขึ้นมาได้ ก็หัวทิ่มกลับลงไปอีกครั้ง
ป๋ายเฉี่ยนยื่นมือไปดึงหลานสาวขึ้นมา ถามอย่างเป็นห่วงว่า
“เก้าอี้ตัวนี้ไม่ค่อยมั่นคงใช่ไหมน่ะ?”
เฟิ่งจิ่วจับขอบโต๊ะพยุงตัว ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า
“เนื้อเรื่องบนเวทีฉากนี้แสดงได้ดีเกินไป ชวนให้วาดฝันนัก จึงเผลอลืมตัวเสียกิริยา” พูดถ้อยคำซี้ซั้วโกหกเหล่านี้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีจบแล้ว ก็ฉวยโอกาสชำเลืองมองบนเวที ครั้นเห็นชัดเจนว่ากำลังแสดงฉากใดอยู่ หางตาพลันกระตุก
บนเวทีงิ้วที่สว่างเจิดจ้า กำลังแสดงถึงฉากแม่ทัพหญิงผู้องอาจห้าวหาญโชคร้ายถูกแคว้นศัตรูจับตัวไป มัดโยงไว้กับเสาของคุกใต้ดิน ทรมานสอบปากคำสารพัดวิธีการ ถูกทารุณกรรมอย่างอเนจอนาถเป็นที่ยิ่ง
ป๋ายเฉี่ยนทอดตามองเวทีงิ้ว แล้วรั้งสายตากลับ มองดูเฟิ่งจิ่วด้วยสีหน้าสับสน
“ที่แท้...เจ้ามีรสนิยมแบบนี้ดอกหรือ...”
“......”
เฟิ่งจิ่วกำหนดสถานภาพให้ตัวเองชัดเจนยิ่งเสมอมา...นางคือแม่ม่ายผู้หนึ่ง
ในโลกมนุษย์มีสุภาษิตที่ชาวบ้านชาวช่องต่างรู้กันทั่วอยู่ประโยคหนึ่ง : หน้าบ้านแม่ม่ายมากเรื่องวุ่นวาย[6] เฟิ่งจิ่วได้ตระหนักอย่างมีสติว่า ตัวนางเป็นแม่ม่ายมาหลายปีดีดักปานนี้ หน้าบ้านไม่เคยมีเรื่องวุ่นวายมาแผ้วพานแต่สักเรื่อง มิใช่ว่าตัวนางเป็นแม่ม่ายได้เป็นแบบอย่างอะไรดอก แต่ต้องยกประโยชน์ให้แก่บรรยากาศการนินทาเรื่องชาวบ้านของชิงชิวที่มิได้เข้มข้นเช่นดั่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่การแสดงงิ้วในวันนี้ นางชมอย่างกลัดกลุ้มกังวลยิ่ง นางเห็นว่า หญิงที่เป็นแม่ม่ายแล้วเช่นนาง ไม่บังควรม้วนเข้าสู่เรื่องเล่าข่าวลือที่ย้อมสีดอกท้อประเภทนี้อีกโดยแท้ แม้จะเป็นเรื่องเล่าข่าวลือร่วมกับตงหัว ซึ่งหากย้อนไปเป็นสามร้อยกว่าปีก่อน จะเป็นเรื่องแสนดีที่นางไม่แม้แต่จะคาดฝันถึงก็ตาม
เฟิ่งจิ่วมีข้อดีที่กระทั่งป๋ายเฉี่ยนก็สู้ไม่ได้อยู่ข้อหนึ่ง ป๋ายเฉี่ยนนั้น เมื่อพบเรื่องที่คิดไม่ตก หากไม่คิดให้ตกเป็นไม่จบเรื่อง ส่วนเฟิ่งจิ่วจะทำไปโดยอาศัยสัญชาตญาณทั้งสิ้น นางเห็นว่าข้อดีใหญ่หลวงที่สุดของตน แท้จริงหาใช่วิชาทำครัว เทพชะตากล่าวชมนางว่า ยามยึดติดก็ยึดติดจริง ยามปล่อยวางก็สง่างามแท้ นางคิดเสมอมาว่า การกระทำของนางมิได้ผิดต่อคำขวัญนี้
หลายวันก่อนนั้น นางมิได้ตระเตรียมให้พร้อมพรัก ต่อมานางจึงนึกถึงคำขวัญประจำใจของนางประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ นางอยู่มาสามหมื่นปี คำขวัญประจำใจที่กองสะสมอยู่ข้างกายไหนเลยเพียงนับพันหมื่น ด้วยเหตุนี้คำขวัญประจำใจข้อนี้นางจึงคุ้ยหาอยู่เป็นหลายวันกว่าจะคุ้ยหาออกมาใหม่อีกครั้งได้ : “ไม่ญาติดีกับบุรุษที่มีความเกี่ยวพันกับสตรีอื่น บุรุษที่มีความเกี่ยวพันกับบุรุษอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน” นางเคยรักตงหัวจะเป็นจะตายมาก่อน ตอนนั้นเป็นการ “ยึดติดจริง” แต่ตงหัวมิได้ต้องใจนาง ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่าได้ไปต้องใจคนอื่นเข้า ตอนที่นางลดฐานะของตัวเองไปเป็นนางกำนัลของเขา กวาดพื้นอยู่ในวังของเขาเป็นหลายร้อยปีอย่างสูญเปล่าแท้ ไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาแม้แต่คำเดียว นางเห็นว่าเรื่องนี้นั้น จงทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้นเถิด สำหรับตงหัวแล้ว บางทีแต่เดิมเรื่องนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บัดนี้นางคิดได้กระจ่างแจ้งแล้ว เซียนคนอื่นๆ ปฏิบัติต่อตงหัวเช่นไร นางก็ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น นี่สิคือหนทางที่ถูกต้อง แน่นอนว่าหากหลบเลี่ยงได้ยังคงหลบเลี่ยงสักหน่อย จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องจุกจิกที่ไม่จำเป็นใด
เมื่อนางทำความเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างแจ้ง ก็เริ่มระมัดระวังคอยรักษาระยะห่างกับเขาเต็มที่ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดพักนี้ระยะห่างนี้ จึงยิ่งรักษายิ่งใกล้เข้ามา นางไตร่ตรองอยู่เนิ่นนาน เห็นว่าควรจะดำเนินกลวิธีบางอย่าง พยายามสักตั้ง รักษาระยะห่างระหว่างเขากับนางให้ห่างเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
นางเพิ่งจะตัดสินใจเช่นนี้ ก็ได้พบอย่างประสาทช้ายิ่งว่า กำไลแก้วผลึกสีชาที่เยี่ยชิงถีมอบให้นางซึ่งนางมักจะสวมไว้ที่มือขวาวงนั้นหายไปแล้ว นั่นเป็นกำไลที่สำคัญมาก
นางย้อนนึกอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง จนเข้าใจแล้วว่า น่าจะเป็นทำตกที่ท้ายวังไท่เฉินกงของตงหัวในคืนนั้น
ก่อนที่เขาและนางจะรักษาระยะห่างที่ห่างมากกว่าเดิม นางยังจำเป็นต้องเป็นฝ่ายไปหาเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ในสถานการณ์เปราะบางแบบนี้ จะทำอะไรยิ่งต้องระมัดระวังอย่าให้เด่น กระนั้น...การจะพบกับตงหัวโดยไม่ให้คนอื่นสังเกตรับรู้ กลับเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากยิ่ง
เฟิ่งจิ่วขบคิดใคร่ครวญ ก็นึกไปถึงห้าค่ำเดือนห้า แผนการเริ่มผุดขึ้นในใจ
ตงหัวมีฐานะเป็นเทพเคารพของเผ่าสวรรค์ แม้ปัจจุบันจะกึ่งเร้นกายอยู่ที่สวรรค์ชั้นสิบสามแล้ว อย่างไรก็ยังคงมีงานบางชิ้นยังมิได้ปลดให้แก่เทียนจวิน อาทิเช่น ควบคุมดูแลทะเบียนเซียน มีคำกล่าวว่า “สวมกระโปรงเขียว ขึ้นประตูสวรรค์ ขอบคุณฟ้าดิน กราบเคารพตงจวิน” ในวันห้าค่ำเดือนห้าของทุกปี ผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียนจากโลกมนุษย์พันกว่าล้านใบแห่งมหาสหัสภพ ล้วนแต่ต้องขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสามสิบหก “ต้าหลัวเทียน” กราบเข้าเฝ้ามหาเทพตงหัวอย่างเคารพนบนอบหนึ่งครั้งในตำหนักเมฆครามของต้าหลัวเทียน ขอประทานขั้นตำแหน่งอันเหมาะสม
และความเคยชินที่กระทำเสมอมาคือ เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง บรรดาเซียนที่มาเข้าเฝ้าแยกย้ายสลายตัวไปแล้ว ตงหัวจะฉวยโอกาสตรวจดูกระจกเชื่อมใจของตำหนักเมฆคราม ค่อยเอ้อระเหยอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเล็งที่ช่วงเวลา “ครู่หนึ่ง” นี้เอง และนางเห็นว่าตนขบคิดได้ละเอียดรอบคอบยิ่ง
ห้าค่ำเดือนห้า หงสาร่วมขับขาน ดอกมณฑารพ[7]โปรยปรายจากผืนฟ้า โลกไร้จำกัดอุบัติแรงสั่นสะเทือนหกประการ อันแสดงนิมิตมงคลประตูสวรรค์เปิดออกต้อนรับปวงเซียนจากแปดดินแดน
เดิมทีเฟิ่งจิ่วตั้งใจจะไปยังนอกตำหนักเมฆครามแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าร่วมสำรวจการเข้าเฝ้า ตอนใกล้จะไปกลับถูกก้อนแป้งตามตื๊อกว่าครึ่งเช้า กว่าจะสลัดหลุดจากก้อนแป้งที่พักนี้ชักจะฉลาดมากขึ้นทุกทีได้ รีบร้อนเร่งรุดไปถึงหน้าประตูของสวรรค์ชั้นสามสิบหก กลับไม่ได้ยินเสียงกราบถวายบังคมใดๆ ดังมาจากภายในตัวตำหนัก
เฟิ่งจิ่วคะเนว่า การประชุมน่าจะเลิกแล้ว จึงดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาทำทีว่าเช็ดเหงื่อ บังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ถามขุนพลสวรรค์น้อยที่เฝ้าประตูผู้หนึ่งว่า
“ตี้จวินท่าน....อยู่ข้างในคนเดียว?”
ขุนพลสวรรค์น้อยเป็นคนพูดติดอ่าง กลับเป็นคนติดอ่างที่มีความรับผิดชอบยิ่ง ขวางอยู่หน้าประตูสวรรค์กล่าวว่า
“ขอ...ขอถามท่าน...ท่านเซียนคือ...คือผู้...”
เฟิ่งจิ่วจับผ้าเช็ดหน้า บังใบหน้าจนมิด เผยแค่เพียงปลายคาง กล่าวว่า
“ชิงชิว ป๋ายเฉี่ยน”
ขุนพลสวรรค์น้อยประสานมือคารวะต่ำอย่างนอบน้อม กล่าวว่า
“ตอบ...ตอบซ่างเสิน ตี้จวิน...อยู่...อยู่ข้างใน...คนเดียว...จริงๆ...พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งจิ่วถอนหายใจเฮือก มาได้เวลาเหมาะเจาะแท้ กล่าวขอบคุณแล้วสั่งว่า
“จริงสิ เปิ่นซ่างเสินมาหาเขาด้วยมีเรื่องส่วนตัวบางเรื่องจะปรึกษา ห้ามปล่อยผู้อื่นเข้าไปข้างในชั่วคราว แล้วจะขอบคุณท่านอย่างสูงในภายหลัง” จบคำยังคงจับผ้าเช็ดหน้าไว้ ทำท่าจะเลี้ยวผ่านเข้าประตูสวรรค์
ขุนพลสวรรค์น้อยไม่กล้าขัดขวาง และไม่ยินดีปล่อยให้นางไปเช่นนี้ เกาหัวเกาหูทำท่าอยากจะพูดอะไร
เฟิ่งจิ่วเลี้ยวกลับมา “ได้พบเปิ่นซ่างเสิน เจ้าตื่นเต้นมากรึ?” นิ่งคิดชั่วแล่น กล่าวว่า “เจ้ามีผ้าเช็ดหน้าหรือไม่? เปิ่นซ่างเสินเขียนลงนามให้เจ้าได้”
ขุนพลสวรรค์น้อยส่ายหน้าหวือ ทำมือทำไม้พูดว่า
“ตี้จวิน...จวินท่าน...คนเดียว...กำ...กำลัง...”
เฟิ่งจิ่วนิ่งไปชั่วครู่ พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ท่านอยู่คนเดียวมาได้พักหนึ่งแล้ว?” แล้วพูดต่อว่า “เจ้าช่างรู้ใจนัก งั้นข้าต้องรีบไปแล้วละ” จบคำก็ “รีบไปอย่างมาก” จริงๆ
จวบจนเงาร่างของเฟิ่งจิ่วเยื้องย่างตัวปลิวลับหายไปจนไร้ร่องรอย ขุนพลสวรรค์น้อยร้อนใจแทบร้องไห้ ในที่สุดก็เค้นถ้อยคำครึ่งประโยคหลังที่เมื่อครู่นี้มิได้กล่าวจบในรวดเดียวออกมาพ้นลำคอ
“คนเดียว...กำลัง...ประ...ประชุมกับ...เหล่า...เหล่าเซียน...อยู่...ในตำหนัก...ไม่...ไม่สะดวก...จะเข้ารบ...รบกวนนะ...พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักเมฆครามของสวรรค์ชั้นสามสิบหก คือตำหนักท้องพระโรงเพียงแห่งเดียวที่ใช้เมฆครามเป็นหลังคา หยกปี้สี่[8]เป็นขื่อรอง แก้วผลึกม่วงเป็นผนัง สูงศักดิ์และโอ่อ่ามาแต่ไหนแต่ไร ทว่ายังดีที่ไม่แค่สวยแต่รูป กลับใช้ประโยชน์ได้ดียิ่ง ประสิทธิภาพในการเก็บเสียงยิ่งดีเลิศ จนใจที่เฟิ่งจิ่วมิได้มีความรู้ในเรื่องนี้ ปลุกปลอบใจให้มีสติเต็มพิกัด เดินไปถึงหน้าประตูห้องโถง แนบกับประตูอย่างระมัดระวังฟังอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงคน ก็คิดว่าข้างในมีเพียงตงหัวคนเดียวจริงๆ
สมัยยังเด็ก เฟิ่งจิ่วได้รับการสอนสั่งพร้อมแสดงตัวอย่างจากป๋ายเจิน ว่าเรื่องทวงหนี้นั้น ห้ามเรื่องทักทายตามมารยาทโดยเด็ดขาด หากทักทายตามมารยาทแล้ว จะไม่สามารถทำสำเร็จได้ เรื่องนี้เน้นหนักสามคำ รวดเร็ว แม่นยำ อำมหิต กำไลนั้นตกอยู่ที่ท้ายวังของตงหัวจริงๆ แต่มิอาจไม่ป้องกันเขาปฏิเสธไม่ยอมรับ เช่นนี้ ยิ่งต้องรวบรวมลูกฮึดยืนกรานหนักแน่นตั้งแต่แรกเริ่ม ยัดเยียดเรื่องนี้ใส่ตัวเขาอย่างเหมาะสม จึงจะสามารถทำให้เขาให้คำอธิบายที่สมบูรณ์พร้อมได้
เฟิ่งจิ่วรวบรวมลูกฮึกอยู่ครู่หนึ่ง ท่องคาถาสามคำที่ป๋ายเจินสอนสั่งในใจหนึ่งรอบ : รวดเร็ว แม่นยำ อำมหิต สูดหายใจลึกๆ แล้วลงมืออย่างทั้งรวดเร็ว ทั้งแม่นยำ ทั้งอำมหิต ทำท่าจะ...เจตนาเดิมของนางคือเตะเปิดประตูห้องโถงในโครมเดียว เท้ายื่นออกไปได้ครึ่งทางพลันรู้สึกไม่เหมาะสม จึงหดกลับมาเปลี่ยนเป็นใช้มือผลักแทน การสะดุดนี้ ส่งผลให้ลูกฮึดที่รวบรวมอยู่นานร่วงตกสู่ภาวะอ่อนโทรมในบัดดล ข้อเดียวที่น่าชื่นชมคือเสียงดังมาก ใสกังวานมาก ดังก้องอยู่ภายในห้องโถงสูงใหญ่ โดยพูดว่า
“หลายวันก่อนตอนค่ำ กำไลแก้วผลึกสีชาของข้าตกอยู่ที่วังท่านใช่หรือไม่...” คำ “น่ะ” สุดท้ายอันสื่อความหมายกังขาบวกคาดคั้นเปล่งเสียงออกมาได้เพียงครึ่งเดียว ก็หยุดค้างไว้ในปากกะทันหัน
ในตำหนักเมฆครามมีคน
ไม่แค่มีคน มีคนเยอะมาก
เฟิ่งจิ่วมองดูแถวยาวเหยียดของเซียนที่ยืนโค้งกายเฝ้าอยู่สองฟากข้างห้องโถงอย่างตะลึงพรึงเพริด ล้วนแต่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่ายังมิได้แต่งตั้งตำแหน่งเซียนใด เซียนคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างบัลลังก์มือถือแผ่นฮู่[9] คาดว่าเมื่อกี้นี้คงจะกำลังท่องบรรยายผลงานและการกระทำแต่ละอย่างยามที่ตนบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน
ยามนี้เหล่าเซียนในแถวยาวเหยียดนี้ต่างมองเฟิ่งจิ่วแน่วนิ่ง แววตะลึงพรึงเพริดปรากฏชัดบนใบหน้า เพียงผู้เดียวที่สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงคือตงหัวซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ชายหนุ่มเปลี่นแขนที่ค้ำเท้าแขนบัลลังก์อย่างมิได้ใส่ใจ ก้มหน้าลงมองนาง
เฟิ่งจิ่วตะลึงพรึงเพริดอยู่ชั่ววูบ เท้าข้างหนึ่งหดถอยออกไปจากธรณีประตูห้องโถงโดยสัญชาตญาณ ฝืนวางท่าเยือกเย็นกล่าวว่า
“ละเมอ เผลอสะเพร่ามาผิดที่เสียแล้ว” กล่าวพลางเท้าอีกข้างทำท่าจะถอยออกไปจากห้องโถงด้วย ทั้งยังยื่นมือออกมาจะช่วยปวงเซียนทุกท่านที่กำลังประชุมปิดประตูห้องโถงกลับเข้าหากันใหม่ดังเดิมอย่างใจดี
เสียงเนิบนาบของตงหัวดังมาว่า “กำไลวงนั้น” หยุดเล็กน้อย “ตกอยู่ที่วังข้าจริงๆ”
เฟิ่งจิ่วถูกธรณีประตูของห้องโถงเกี่ยวเท้าสะดุดล้ม
ตงหัวหยิบปิ่นหยกขาวเรืองประกายอันหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้ออย่างเนิบช้า เอ่ยเสียงราบเรียบ
“ปิ่นนี้เจ้าก็ลืมเหมือนกัน”
ภายในห้องโถงไม่ทราบผู้ใดกลืนน้ำลายโดยแรง เฟิ่งจิ่วหมอบฟุบอยู่กับพื้นแกล้งตาย
ทั้งห้องโถงเงียบสงัด เสียงของตงหัวดังขึ้นอีกครั้ง อย่างเยือกเย็น ปลอดโปร่ง และแช่มช้า
“ยังมีอันนี้ จานฮัวที่เจ้าทำตกในน้ำพุร้อน” หยุดเว้นจังหวะ แล้วกล่าวอย่างปกติยิ่ง “เข้ามารับสิ”
เฟิ่งจิ่วเอามือปิดหน้าค้ำธรณีประตูพยุงตัวปีนขึ้นมา กล่าวเสียงเครือกับเหล่าเซียนที่ตะลึงพรึงเพริดจนลืมตัวว่า
“ข้าละเมอจริงๆ มาผิดที่จริงๆ นะ...”
ตงหัวเอามือเท้าคาง “ยังมี...” พลางทำท่าจะหยิบอะไรออกมาอีก
เฟิ่งจิ่วเก็บเสียงแหบเครือ เปลี่ยนสีหน้าจะร้องไห้เป็นเคร่งขรึมทันควัน พูดว่า
“โอ๊ะ ดูเหมือนจะตื่นกะทันหัน สมองปลอดโปร่งแจ่มใสแล้วละ”
นางกล่าวอย่างเข้าใจแล้ว “คงเป็นเพราะที่นี่แสงแห่งปัญญาของที่นี่เจิดจ้ายิ่งกระมัง”
จากนั้นก้าวเข้าไปประสานมือคารวะ กล่าวอย่างเคร่งครัดสำรวม
“คราครั้งนี้ มาพบตี้จวินเพื่อรับสิ่งของบางชิ้นจริงแท้ มิได้มาผิดสถานที่ รบกวนตี้จวินอุตส่าห์ช่วยเก็บไว้ให้ข้าก่อน”
นางกล่าวอย่างกระดากกระเดื่องระคนขัดเขินว่า “กลับบุ่มบ่ามชั่ววูบรบกวนการประชุมของสหายเซียนทุกท่าน รู้สึกไม่สบายใจโดยแท้ วันหน้าจักจัดงานธรรมเป็นการเฉพาะเพื่อขออภัยต่อทุกท่าน”
ยามถ้อยคำกิริยาอันลื่นไหลต่อเนื่องดั่งสายน้ำเหล่านี้แสดงออกมา กระทั่งตัวเฟิ่งจิ่วเองยังตกตะลึงยิ่ง นับถือตัวเองยิ่ง ตงหัวยังคงไร้ปฏิกิริยา ส่วนเหล่าเซียนทั้งหลายต่างบังคับตัวเองว่าห้ามมีปฏิกิริยา
เฟิ่งจิ่วขบกรามกรอด เร่งก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดสู่หน้าบัลลังก์ ตงหัวเอามือเท้าคาง เงยหน้าขึ้นมองนาง เห็นนางก้มหน้าคอตกสีหน้าสลดหดหู่ ดวงตาพลันวาบประกายยิ้มละไมจางๆ แล้วเลือนหายในบัดดล ยื่นมือขวาออกไป นิ้วทั้งห้าเรียวยาวได้รูป บนมือวางกำไลวงหนึ่ง ปิ่นอันหนึ่ง จานฮัวขาวดอกหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วงุนงงเล็กน้อย
ตงหัวเอ่ยเนิบๆ “ไม่หยิบไปเอง ยังจะให้ข้าส่งถึงมือเจ้าอีกรึ?”
หญิงสาวก้มหน้าหยิบไปทีละชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว แสร้งวางท่าเคร่งขรึมสำรวม ราวกับหยิบราชโองการสำคัญอะไรสักอย่าง หลังจากหยิบของกลับคืนมาหมดแล้วยังไม่ลืมที่จะถอยกลับลงไปอย่างนอบน้อม ถอยไปจนถึงประตูห้องโถง เมื่อแข็งใจยันผ่านช่วงนี้มาได้ ความรู้สึกขายหน้าที่ฝืนข่มไว้พลันสะท้อนกลับกะทันหัน ใบหน้าแดงก่ำในพริบตา เปิดแนบเร็วรี่ปานหมอกควัน
ภายในตำหนักเมฆคราม ปวงเซียนต่างยืนอย่างเคร่งขรึมสำรวม เซียนที่เมื่อครู่ก่อนตั้งอกตั้งใจท่องรายงานผลงานของตนโอบแผ่นฮู่คุกเข่าอยู่กับพื้น ตะลึงเหม่อมองเงาร่างที่จากไปไกลของเฟิ่งจิ่ว เคราะห์ดีที่ใต้สังกัดของตงหัวมีเซียนที่สมาธิดีอยู่ผู้หนึ่ง มิได้ถูกเฟิ่งจิ่วที่แทรกเข้ามากลางคันก่อกวนจิตใจ ช่วยสะกิดบอกเซียนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างกระตือรือร้น
“ก่อนหน้านี้กำลังเล่าถึงหนึ่งร้อยปีก่อนเจ้าต่อสู้เสี่ยงตายกับมังกรน้ำดุร้ายตัวหนึ่ง ช่วยชีวิตองค์หญิงแห่งแคว้นจงหรงไว้ได้ ต่อมาองค์หญิงผู้นั้นร่ำร้องจะเป็นจะตายจะแต่งงานกับเจ้าให้จงได้ ยังคงถูกเจ้าอ้อมค้อมปฏิเสธไปเสีย” แล้วเอียงตัวไปพูดอย่างสนอกสนใจเต็มที่ “งั้นต่อมาเป็นยังไงหรือ?” ถูกตงหัวปรายตามองมา จึงหุบปากอย่างรู้ตัว กระแอมหนึ่งที วางมาดเข้มงวดกล่าวเสียงหนัก “เช่นนั้น...เรื่องราวหลังจากนั้นเป็นอย่างไร จงเล่าต่อจากเมื่อครู่นี้เถิด”
ค่ำคืนที่ตำหนักเมฆครามเลิกประชุมนี้ ตามธรรมเนียมแล้ว เทียนจวินพึงประทานงานเลี้ยงที่อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์
เทพเซียนผู้น้อยที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมากลุ่มนี้ นอกจากน้อยนับคนได้เพียงไม่กี่รายที่ได้รั้งอยู่รับใช้บนสวรรค์แล้ว ส่วนใหญ่จะได้รับแต่งตั้งให้ไปประจำยังบรรพตศักดิ์สิทธิ์และหุบเขาเซียนแต่ละแห่ง ไม่ทราบวันใดจึงจะมีโอกาสวาสนาได้ขึ้นสวรรค์มาเข้าเฝ้าอีก เมื่อได้ประสบงานเลี้ยงพระราชทานที่เทียนจวินเสด็จมาด้วยตัวเอง ย่อมต้องเตรียมตัวโดยสำคัญ
เทพเซียนต่างรวมตัวอยู่ภายในอุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ ขึ้นมาบนสวรรค์เป็นครั้งแรก มองดูสิ่งใดล้วนเห็นอัศจรรย์...ล้วนเห็นแปลกใหม่ทั้งสิ้น
ใต้ต้นไร้กังวลซึ่งยังมิได้ผลิดอกต้นหนึ่ง มีเทพเซียนน้อยผู้ร่าเริงแอบกระซิบกับสหายเซียนว่า
“วันนี้เสียนตี้[10]ได้เห็นเทพเซียนบนสวรรค์มากมายปานนี้ เคยได้เห็นเทพเซียนจากแคว้นชิงชิวแล้วหรือยัง?” แล้วกล่าวอย่างลึกลับว่า “ฟังว่าคืนนี้มิใช่เล่นเลยละ กูกูแห่งแคว้นชิงชิวท่านนั้นกับหลานสาวของท่านองค์กษัตรีย์ล้วนแต่จะมาในงานเลี้ยง เล่าลือกันว่าสองท่านนี้ คือหญิงงามอันดับหนึ่งและสองของสี่ทะเลแปดดินแดนเทียวละ แม้แต่เทพธิดาบนสวรรค์ก็สู้พวกนางไม่ได้”
สหายของเทพเซียนน้อยผู้นี้ ก็คือเซียนผู้ถือแผ่นฮู่คุกเข่าอยู่กับพื้นเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง หลังจากรายงานผลงานเสร็จสิ้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจินเหริน รวมกับแซ่เมื่อยามเป็นมนุษย์ เรียกขานว่าเสิ่นเจินเหริน
เสิ่นเจินหรงยังไม่ทันได้เอ่ยคำ หน้าก็แดงไปก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง กล่าวคนละเรื่องกับคำถามว่า
“...เทพธิดาที่บุกเข้ามาในตำหนักเมฆครามเมื่อกลางวันนางนั้น...นาง...นางจะมาหรือไม่?”
เทพเซียนน้อยตะลึงลาน เอามือปิดปากครึ่งหนึ่งกล่าวว่า
“อวี๋ซยง[11]ไปสืบถามมาแล้ว เซียนหญิงนางนั้นคงจะเป็นน้องสาวบุญธรรมของตี้จวินเสียละมาก ต้องน้อมเรียกนางว่าองค์หญิงจือเฮ่อ เจ้าดูเหตุการณ์เมื่อกลางวันเถิด ตี้จวินท่านปฏิบัติต่อน้องสาวบุญธรรมผู้นี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน” แล้วพึมพำว่า “เฮ้อ...ช่างงดงามจริงแท้...งดงามจริงแท้ กระทั่งผู้ที่ไม่ใคร่ชิดใกล้สตรีมาแต่ไรแต่ไรอย่างอวี๋ซยงยังต้องตกตะลึงเหม่อมอง ข้าตกตะลึงเหม่อมองจริงๆ แต่ทว่า...” ตบไหล่เสิ่นเจินเหรินหนักๆ “เจ้าและข้าสำเร็จเป็นเซียนด้วยร่างมนุษย์ ในกฎข้อห้ามเขียนบัญญัติไว้ชัดเจนยิ่ง ต่อให้ตี้จวินปฏิบัติต่อน้องสาวบุญธรรมผู้นี้เพียงธรรมดา เสิ่นซยงยังคงอย่าได้คิดจะดีกว่า”
เสิ่นเจินเหรินก้มหน้าลงอย่างไม่พอใจ
เนื่องจากอุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์แห่งสวรรค์ชั้นสามสิบสองอยู่สูงกว่าดวงจันทร์ไหนเลยเพียงช่วงใหญ่ เอื้อมเกี่ยวแสงจันทร์ขึ้นมาส่องสว่างไม่ใคร่จะได้ ด้วยเหตุนี้ บนต้นไร้กังวลทั้งอุทยานจึงถักห้อยไข่มุกประกายราตรีไว้จนทั่ว สาดส่องอุทยานทั้งอุทยานจนสว่างไสวดุจทิวาวัน
สวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีธรรมเนียมนิยมที่ไม่ค่อยจะดีนักอยู่อย่างหนึ่ง เซียนที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งทุกคน เพื่อเป็นการไว้มาด ไม่ว่าจะงานเลี้ยงใหญ่งานเลี้ยงเล็ก มักจะมาตรงเวลาพอดีเสมอ วางมาดใหญ่โตแสร้งทำเป็นว่างานรัดตัวมากจนต้องเจียดเวลาจึงค่อยมาได้ เคราะห์ดีที่ตงหัวกับเหลียนซ่งมิได้พิถีพิถันเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งที่ประสบงานเลี้ยงราชการเช่นนี้ มิใช่มาก่อนเวลามาก ก็เป็นมาสายมาก หรือไม่มามันเสียเลย มาแบบตรงเวลาพอดีนั้นไม่เคยมีมาก่อน...
คราครั้งนี้ ยังห่างจากเวลาเริ่มงานอีกพอสมควร เทพเซียนผู้มีปราณมงคลลอยตลบทั้งสองท่านก็เสด็จมาเยือนแล้วอย่างเงียบงัน
เทพธิดารับใช้ประจำงานเลี้ยงจัดวางเก้าอี้สองตัวโต๊ะหนึ่งตัวที่ด้านหลังต้นไม้โบราณอันมีกิ่งใบดกหนาต้นหนึ่งอย่างรู้ใจ เชิญซ่างเสินทั้งสองท่านพักผ่อนสักครู่ และเพื่อมิให้เหล่าเซียนน้อยที่ด้านหน้าเห็นทั้งสองท่านแล้วต้องตื่นตระหนกสำรวมเช่นกัน
ตอนที่เสิ่นเจินเหรินสนทนากับเทพเซียนน้อยผู้นั้น ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าต้นไม้โบราณพอดิบพอดีอย่างโชคร้ายยิ่ง ถ้อยคำสนทนาจึงได้ล่วงเข้าสู่หูของเซียนผู้ใหญ่ทั้งสองท่านที่ด้านหลังทั้งหมดโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่พยางค์เดียว
ในยามนั้น ตงหัวกำลังแกะแยกชิ้นส่วนเจดีย์เฮ่าเทียนที่เหลียนซ่งนำมาให้เขาเพื่อศึกษาชื่นชมเล่น เจดีย์นี้คือเทพศาสตราที่ไม่กี่วันมานี้เหลียนซ่งประดิษฐ์ขึ้น สามารถดูดดาวเปลี่ยนจันทร์กำราบมารปิศาจทั้งหมด ที่เหลียนซ่งนำของชิ้นนี้มาให้เขา แต่เดิมนั้นคิดจะให้เขาช่วยดูสักหน่อย จะดัดแปลงอย่างไรดีให้เพิ่มประสิทธิภาพสามารถกำราบเทพเซียนได้เข้าไปอีกข้อ จะได้มีชื่อเรียงอยู่ในสมุดรายนามเทพศาสตรา ข่มกาหลอมปิศาจ...กาจิ่วหลี[12]ที่ม่อเยวียนซ่างเสินประดิษฐ์ขึ้นเมื่อหลายวันก่อนลงไปหนึ่งช่วงศีรษะ
เหลียนซ่งจวินรวบเก็บพัดรินสุราให้ตัวเองและตงหัว พูดยิ้มๆ ว่า
“ฟังว่าวันนี้ในตำหนักเมฆคราม ท่านหยอกเอินเฟิ่งจิ่วต่อหน้าปวงเซียนหรือ? จ้งหลิน ขุนนางเซียนที่ทั้งภักดีและเที่ยงตรงใต้สังกัดของท่านคนนั้นร้อนใจมากเทียวละ เฝ้าคิดแต่ว่าจะรักษาชื่อเสียงด้านเที่ยงธรรมสำรวมของท่านอย่างไรดี ทั้งยังแล่นมาขอคำชี้แนะจากข้าอีกด้วย”
ตงหัวพินิจดูเจดีย์วิเศษในมือ “ขอคำชี้แนะเรื่องเที่ยงธรรมสำรวมจากเจ้า? เขายังไม่ตื่นรึ?”
เหลียนซ่งสะอึก “ช่างเถิด ถือสาอะไรกับท่าน” ดื่มสุราไปจอกหนึ่ง พลันนึกขึ้นมาได้ “เดิมทีวันนี้มีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน มาขัดจังหวะแบบนี้ กลับลืมไปเลย” วางพัดลงข้างจอกสุรา เคาะเบาๆ “เผ่ามารแห่งแดนทักษิณ พักนี้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติอีกแล้ว
ตงหัวยังคงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดพินิจดูเจดีย์เฮ่าเทียนที่ถูกแกะแยกชิ้นส่วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กล่าวว่า
“เป็นไรรึ?”
เหลียนซ่งเอนพิงพนักเก้าอี้ แววตาพร่างยิ้ม กล่าวเนิบๆ ว่า
“ยังจะมีอะไรได้ เยียนฉืออู้ หนึ่งในเจ็ดราชาแห่งเผ่ามาร คนที่มาท้าดวลกับท่านในปีนั้นเพราะเรื่ององค์หญิงใหญ่แห่งเผ่ามารแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับท่านไง ท่านยังจำได้อยู่กระมัง?” กล่าวเรียบเรื่อยว่า “ฉวยโอกาสที่ท่านไม่ทันตั้งตัวใช้หยกกักวิญญาณอะไรนั่นกักท่านไว้ในเขตแดนปทุมมาสิบสามานย์ ทำเอาท่านทุลักทุเลน่าดูชม เหตุการณ์น่าขายหน้าเช่นนี้ ท่านยังคงจำได้เช่นกันกระมัง?” พูดอย่างสมน้ำหน้าว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะจิ้งจอกน้อยที่ไม่ทราบโผล่มาจากไหนตัวนั้นยื่นมือเข้าช่วยท่าน ไม่แน่ว่าพลังฝึกปรือของท่านอาจจะถูกเหล่ามารปิศาจภายในเขตแดนปทุมย่ำยีไปเสียครึ่งหนึ่งแล้วก็เป็นได้ ท่านคงจะยังจำได้กระมัง?” กล่าวจบ ก็สรุปอย่างเสียดาย “ถึงแม้สุดท้ายท่านจะทะลวงทำลายกรงขังนั้นได้ ทั้งยังจัดการสั่งสอนเยียนฉืออู้อย่างหนักหน่วงไปหนึ่งยก เล่นงานเขาเสียจนกระทั่งพ่อแม่เขาก็จำหน้าไม่ได้ แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเจ็ดราชาแห่งเผ่ามาร เขามีหรือจะยอมถูกหยามอัปยศเช่นนี้ ไม่กี่วันมานี้พักฟื้นเตรียมตัวพรักพร้อมแล้ว คิดจะสู้กับท่านอีกสักตั้งมาตลอด เพื่อล้างความอัปยศในครั้งนั้น”
แววตาตงหัวไหววูบ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบสนิท “ข้าจะรอสารท้ารบของเขา”
เหลียนซ่งตกตะลึง “ข้าหลงนึกว่าไม่กี่ปีมานี้ท่านฝึกฝนกายใจมุ่งมั่นในธรรม จิตสังหารค่อยถดถอย ชืดชาอย่างยิ่งแล้วเสียอีก” แล้วขมวดคิ้ว “หรือว่า...ท่านยังคงคิดว่าจิ้งจอกน้อยถูกเยียนฉืออู้จับตัวไป? แต่เมื่อสามร้อยปีก่อน ท่านได้ไปตรวจสอบยืนยันที่เผ่ามารด้วยตัวเองมาแล้ว และมิได้พบเจอจิ้งจอกน้อยตัวนั้นมิใช่หรือ?” ตามด้วยถอนหายใจกล่าวว่า “จะว่าไปแล้วก็ใช่อยู่ดอก ฟ้าดินแม้กว้างใหญ่ กลับมิอาจหาจิ้งจอกเช่นนั้นพบได้อีก” ก่อนจะชะงักงัน กล่าวอีกว่า “เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิวก็เป็นจิ้งจอกแดงเช่นกัน แม้จะเป็นจิ้งจอกแดงเก้าหาง รูปร่างน่าจะแตกต่างจากจิ้งจอกของท่านตัวนั้นมาก...แต่ว่า...ท่านคงมิใช่เป็นเพราะเหตุนี้ถึงได้เห็นว่าเฟิ่งจิ่ว...”
ตงหัวเอามือเท้าคาง สายตาทะลุผ่านกิ่งใบดกหนาของต้นไม้โบราณ เอ่ยว่า “คนละเรื่อง”
ปลายทางของสายตา หยุดอยู่ที่ตัวของเฟิ่งจิ่วซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังของป๋ายเฉี่ยนและกำลังขมวดคิ้วก้าวเข้าสู่อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ เสื้อขาวกระโปรงขาวจานฮัวขาว สีหน้าค่อนข้างเย็นชา เวลานางไม่กล่าววาจา ดูแล้วก็ภูมิฐานยิ่ง มีสง่ายิ่งอยู่ดอก
เมื่อก่อนสายตาของป๋ายเฉี่ยนไม่ค่อยดีนัก ยามเฟิ่งจิ่วติดตามนางจึงเป็นประดุจตาอีกคู่ของนาง ด้วยเหตุนี้สายตาจึงถูกฝึกฝนจนคมกล้าอย่างยิ่ง ยามนี้เพียงเหลือบมองเล็กน้อย ก็มองทะลุกิ่งไม้ใบเขียวที่ซ้อนทับกันดกหนา ไปเห็นว่าด้านหลังต้นไร้กังวลขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง ตงหัวกำลังพิงพนักเก้าอี้มองมาทางนาง
เฟิ่งจิ่วถอยหลังไปหนึ่งก้าว กุมมือของป๋ายเฉี่ยน กล่าวอย่างหนักแน่นจริงใจ
“ข้าเห็นว่า ในฐานะแม่ม่ายผู้หนึ่ง ข้าควรจะรักษาคุณธรรมของแม่ม่ายเอาไว้บ้าง อย่าเปิดเผยหน้าตาเช่นนี้จะดีกว่า...”
ป๋ายเฉี่ยนพูดลอยๆ ตัดบทนาง “อ้อ...ที่แท้เจ้าเห็นว่ามาร่วมในงานเลี้ยงนี้เป็นเพื่อนข้า มิสู้เป็นเพื่อนเจ๋อเหยียนที่เมื่อวานนี้ขึ้นมาบนสวรรค์ไปปราบพยศสัตว์ร้ายอัคคีแดงให้เป็นพาหนะตัวใหม่ของพี่สี่จะดีกว่าดอกหรือ อย่างนั้น...”
เฟิ่งจิ่วตัวสั่นยะเยือก กุมมือป๋ายเฉี่ยนแน่นขึ้นกว่าเดิม
“แต่ดีที่กฎในโลกของพวกเราแม่ม่ายไม่ได้เข้มงวดเถรตรงปานนั้น เรื่องประเภทเปิดเผยหน้าตานานๆ ทีกระทำบ้างสักครั้งสองครั้ง ก็มีประโยชน์ต่อ...มีประโยชน์ต่อ...” “มีประโยชน์ต่อ” ค้างอยู่พักใหญ่ ค่อยพูดไม่ตรงกับใจว่า “มีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและใจเช่นกัน”
ป๋ายเฉี่ยนยิ้มตาหยีพยักหน้า “เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่ง”
สององค์หญิงแห่งแคว้นชิงชิวหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเรียงกันย่างเท้าเข้าสู่อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ด้วยบุคลิกภูมิฐานสำรวม ปวงเทพเซียนน้อยที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมาบนสวรรค์พบเจอโลกมาน้อยนิด พลันมาเห็นสองใบหน้าอันงดงามเหนือล้ำปวงหญิงงามในโลกหล้าอย่างมากมายนี้กะทันหัน ก็พากันตะลึงลานลืมสติ เคราะห์ดีที่เหล่าเซียนรับใช้ของงานเลี้ยงล้วนแต่คล่องแคล่วไหวพริบดีทั้งยังเคยเห็นสององค์หญิงแห่งชิงชิวจนชินตา จึงนำทางสองอาหลานไปนั่งยังโต๊ะสำหรับผู้ทรงศักดิ์สูงสุดอย่างมีสมาธิดียิ่ง
ที่ด้านหลังต้นไร้กังวล เหลียนซ่งกุมพัดจีบผุพังเล่มนั้น เคาะโต๊ะหินเบาๆ อีกครั้ง กล่าวกับตงหัวว่า
“ท่านมีเจตนาอย่างไรกับนาง เห็นว่านางไม่เลว หรือว่า...”
ตงหัวรั้งสายตากลับ แววยิ้มผุดวาบในดวงตาแล้วหายวับ “นางน่าสนุกมาก”
เหลียนซ่งใช้รูปแบบความคิดของยอดนักรักแห่งยุคของตนตีความอยู่พักใหญ่ กล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า
“น่าสนุกคือ...” แล้วได้ยินเสียงขุนนางเซียนน้อยเปล่งเสียงดังกังวานมาจากบนบัลลังก์ทองม่วง
“เทียนจวินเสด็จ”
เหลียนซ่งถอนหายใจ ลุกขึ้นกล่าวว่า “เจดีย์เฮ่าเทียนนั่นท่านเก็บไว้ให้ดีๆ ละ”
งานเลี้ยงพระราชทาน ณ อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ แต่เดิมเป็นงานเลี้ยงไม่ทางการ
แม้จะเป็นงานเลี้ยงไม่ทางการ กลับมิได้ตามสบาย
ในเดือนปีแห่งมหาอุทกภัยเปลี่ยนผัน บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผันเช่นกัน เทียนจวินแต่ละรุ่นจุติมาแล้วล่วงลับ ล่วงลับแล้วจุติมา มีเพียงมหาเทพตงหัวผู้เดียวที่ยืนหยัดอยู่เฝ้าบนยอดแดนสวรรค์สามชิงไม่มีเปลี่ยนผันตั้งแต่ต้นจดปลาย
หลายปีมานี้ กระทั่งเรื่องราวเก่าก่อนบางเรื่องของเทียนจวินยังถูกปวงเทพเซียนเลือกออกมาเป็นบทสนทนาแกล้มสุราซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายต่อหลายครั้ง กลับไม่เคยหาพบเรื่องเก่าก่อนของตงหัวที่ชวนนำมาสนทนาแกล้มสุราตลอดมา คราครั้งนี้กลับมีโอกาสได้ทราบข่าวเล่าลือของตงหัวบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งแรก จึงเล่าลือกันครึกโครมดุจไฟอุกกาบาตลามทุ่ง จากสวรรค์ชั้นหนึ่งไหม้ลามไปถึงสวรรค์ชั้นสามสิบหก ไหม้ลามตรงไปถึงในหูของเทียนจวิน
หนึ่งในสองเจ้าของเรื่องย่อมต้องเป็นตงหัว ส่วนอีกฝ่าย เนื่องจากทุกคนขาดจินตนาการยิ่ง จึงกำหนดให้เป็นองค์หญิงจือเฮ่อผู้ไร้ความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่ทราบเช่นกันว่าจือเฮ่อคิดอย่างไร เทพเซียนใจกล้าบางรายได้ยกเรื่องนี้ขึ้นกล่าวเลียบเคียงกลายๆ ต่อหน้านางในระหว่างสนทนา นางเพียงแต่อมยิ้มนิ่งเงียบโดยมิได้ปฏิเสธ
เทียนจวินรัชกาลนี้มีความเข้าใจผิดต่อตัวเองสูงมากตลอดมา
เขาเห็นว่าตัวเขาคือจอมเทพผู้เปี่ยมเมตตาช่างรู้ใจคน
จากข่าวเล่าลือ ตงหัวมีใจให้จือเฮ่อเป็นอย่างมาก ในเมื่อมีเทพเคารพแห่งภพสวรรค์มอบใจให้ เขาจึงตัดสินได้ว่า จือเฮ่อไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่รับโทษในโลกมนุษย์อีกต่อไป พึงรีบเลื่อนขั้นขึ้นมาบนสวรรค์โดยไวจึงจะถูกต้อง อันเป็นการซื้อน้ำใจตงหัวหนึ่งครั้งด้วย
การตัดสินใจนี้กำหนดมาได้หลายเพลา เขาเห็นว่าเสนอขึ้นมาในงานเลี้ยงกึ่งทางการไม่ทางการนี้จะดีที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงจงใจสั่งการไปหนึ่งประโยค ให้ขุนนางฝ่ายจัดงานส่งบัตรเชิญไปให้จือเฮ่อที่ยังคงมิได้ไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าด้วยหนึ่งใบ
แต่คำสั่งนี้ จำเป็นต้องสั่งอย่างลื่นไหลตามน้ำ จึงจะไม่ถึงกับทำให้ปวงขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักรู้สึกว่าตัวเขาลำเอียงปกป้องตงหัวมากเกินไป แต่ก็มิอาจไม่เผยร่องรอยจนเกินไป ต้องให้ตงหัวทราบในบุญคุณ
เขาครุ่นคิดเช่นนี้ไปหนึ่งรอบ ฟังว่าจือเฮ่อถนัดฟ้อนรำ ก็นึกวิธีหนึ่งออก ให้เทพธิดา 17-18 นางเสริมประดับจือเฮ่อผู้ถนัดฟ้อนรำ ฟ้อนรำชุด “กระเรียนฟ้อนเก้าสวรรค์”[13] ที่จือเฮ่อถนัดมากที่สุดในงานเลี้ยง
จือเฮ่อเป็นเซียนที่ฉลาด มิได้ทำให้เทียนจวินต้องผิดหวัง ในงานเลี้ยง นางฟ้อนรำ “กระเรียนฟ้อนเก้าสวรรค์” ได้ราวกับ “หงสาฟ้อนเก้าสวรรค์” ทั้งยังไม่ใช่หงสาตัวเดียว แต่เป็นหงสาทั้งรัง ร่ายรำชดช้อยอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ปวงเทพเซียนทั้งที่นั่งและที่ยืนแต่ละคนต่างชมดูไม่วางตา
หนึ่งเพลงจบลง เทียนจวินปรบมือ 2-3 ครั้งเป็นคนแรก นำพาเสียงปรบมือดังสะท้านสะเทือนอยู่พักใหญ่ ในเสียงปรบมือดังสะท้านสะเทือน เทียนจวินทอดสายตาลงมองด้านล่างเวที รู้แล้วแสร้งถามว่า
“ผู้ที่ถวายการฟ้อนรำเมื่อครู่นี้ คือเทพธิดาจือเฮ่อซึ่งเมื่อสามร้อยปีก่อนถูกลดตำแหน่งลงสู่เขาฉีหลินซานใช่หรือไม่?”
ปวงเซียนย่อมจะตอบว่า “ใช่” เทียนจวินแสร้งทำเป็นนิ่งใคร่ครวญ ค่อยแสดงสีหน้าท่าทีเสียดายผู้มีความสามารถ เอ่ยว่า
“นึกไม่ถึงว่าเทพธิดาที่รับโทษนางหนึ่งกลับมีความสามารถปานนี้ ในเมื่อสำนึกโทษที่โลกมนุษย์มาได้สามร้อยปีแล้ว คิดๆ ดูก็พอแล้วละ อีก 2-3 วันจงกลับขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเถิด” จากนั้นทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หันไปมองตงหัว “ท่านมหาเทพตงหัวเห็นว่าอย่างไร?”
ละครทั้งฉากแสดงได้เข้าขั้นยิ่ง
องค์หญิงจือเฮ่อในอาภรณ์แพรเนื้อเบาพลิ้วไสวดุจภาพฝันก็เพ่งมองพี่ชายบุญธรรมของนางแน่วนิ่งเช่นกัน
ตงหัวกำลังแกะแยกส่วนเจดีย์เฮ่าเทียนเป็นรอบที่สอง ได้ฟังที่เทียนจวินถามก็กวาดตามองจือเฮ่อ พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ดี”
ขาดคำ เสียง “เปรี๊ยะ” พลันดังขึ้นเยื้องออกไปข้างหน้า เบือนสายตามองไป ถ้วยกระเบื้องเคลือบของเฟิ่งจิ่วแตกเป็นสี่เสี่ยง วางเผยอยู่บนโต๊ะ ตงหัวตะลึงลาน เหลียนซ่งยกพัดจีบปิดหน้าชะโงกเข้ามาใกล้เล็กน้อย กระดกคางพยักเพยิดกล่าวว่า
“เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่ ถ้วยกระเบื้องเคลือบนั่นถูกนางบีบแตกด้วยมือเดียวเทียวนะ จุ๊...ฝีมือยอดเยี่ยม”
เฟิ่งจิ่วเชื่อว่า ตอนที่ตงหัวพูดว่า “ก็ดี” จื่อเฮ่อได้โค้งริมฝีปากหันมายิ้มให้นางอย่างท้าทาย
นางจำได้ว่าป๋ายอี้ท่านพ่อของนางเคยกล่าวกำชับสอนนางอย่างห่วงใยว่า
“เจ้าอายุยังน้อยก็ครองตำแหน่งสูงส่งกุมอำนาจมากล้น จงจำไว้ว่าอย่าได้ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเหล่าเทพเซียนต่ำฐานะ อย่าให้ใครเขาเห็นแล้วหัวเราะเยาะเอาได้ เสื่อมเสียเกียรติตัวเจ้าเองนั้นไม่กระไร แต่ห้ามให้เสื่อมเสียต่อเกียรติของศักดิ์ฐานะนี้โดยเด็ดขาด”
สามร้อยปีมานี้ ถ้อยคำเหล่านี้นางได้จดจำไว้ในใจทุกถ้อยทุกพยางค์ พานพบเรื่องราวต่างน้อยยิ่งจะมีโทสะ ฝึกฝนจนมีจิตใจกว้างขวางและบุคลิกสูงสง่าได้สำเร็จจริงๆ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจือเฮ่อ นางเห็นว่าเก็บมารยาทจอมปลอมเหล่านี้ไว้ชั่วคราวเสียก็ได้ องค์หญิงแห่งวังไท่เฉินกงผู้นี้ กาลก่อนเคยล่วงเกินนางอย่างใหญ่หลวงจริงแท้ เป็นรอยแผลรอยหนึ่งในใจนาง
คำว่า “กาลก่อน” นี้ สามารถไล่ย้อนกลับไปยังเมื่อสองพันกว่าปีก่อน
ยามนั้นนางอายุเยาว์ไม่รู้ความ เดินทางไปเล่นที่เขาฉินหยาว[14]แดนทักษิณเพียงลำพัง แล้วเผลอไปมีเรื่องกับปิศาจเสือตนหนึ่ง มันจะกินนาง โชคดีที่ได้มหาเทพตงหัวซึ่งผ่านทางมาช่วยชีวิตไว้ นับแต่นั้นมา นางก็ตั้งใจมั่นจะครองคู่กับตงหัว เพื่อทดแทนบุญคุณของตงหัว นางติดค้างบุญคุณเทพชะตาครั้งใหญ่ จงใจปะปนเข้าไปเป็นนางกำนัลรับใช้ในวังไท่เฉินกงบนสวรรค์ชั้นสิบสาม นางพยายามอย่างยิ่ง แต่โชคนางไม่ดี ประสบกับการกลั่นแกล้งขัดขวางทุกวิถีทางจากองค์หญิงจือเฮ่อ น้องสาวบุญธรรมของตงหัว ตงหัวไม่สนใจงานจุกจิกภายในวัง ข้างกายก็มิได้มีตี้โฮ่ว จือเฮ่อจึงเป็นผู้ควบคุมดูแลวังไท่เฉินกงเสียกว่าครึ่ง วันคืนของเฟิ่งจิ่วจึงไม่ค่อยสบายนัก
ต่อมาตงหัวถูกศัตรูหลอกเข้าสู่เขตแดนปทุมมาสิบสามานย์อย่างคาดไม่ถึง นางนับว่ารอคอยจนสบโอกาสจนได้ นางมีนิสัยดันทุรังถึงที่สุดมาแต่เด็ก เพื่อตงหัว ไม่เสียดายต่อการขายรูปโฉม น้ำเสียง ความสามารถในการแปลงร่าง และหางทั้งเก้าที่รักมากที่สุดให้แก่ราชาเผ่ามาร เปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งเสี่ยงชีวิตช่วยเขาออกพ้นจากภยันตราย ความจริงแล้วนางมีเจตนาแอบแฝงเช่นกัน โดยคิดว่านางสร้างบุญคุณใหญ่หลวงต่อตงหัวเช่นนี้ เขาก็จะหลงรักนางเหมือนเช่นที่นางหลงรักเขาได้ นางพยายามมาสองพันกว่าปี สุดท้ายก็จะได้รับการตอบแทนบ้างแล้ว
เพียงแต่เรื่องราวในโลกหล้ายากยิ่งจะหยั่งคาด
หลังจากบาดแผลหายดี นางได้รับอนุญาตกลายๆ ให้ติดตามอยู่ข้างกายตงหัวเคียงข้างทุกวันคืน ได้ผ่านวันเวลาที่นางเองนึกว่ามีความสุขอยู่ช่วงหนึ่งโดยแท้ แม้จะสูญเสียความสามารถในการแปลงร่างไป เป็นแค่เพียงจิ้งจอกภูตสีแดงตัวหนึ่ง นางก็พอใจยิ่ง กระทั่งในฝันยังรู้สึกเป็นสุข
คืนนั้นนางนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว เช้าตรู่เสียงนกกระจอกออกหากินจิกวงกบของหน้าต่างที่เปิดกว้างจึงค่อยปลุกนางตื่น เห็นลายมือของตงหัวที่ข้างหมอน เขียนไว้ว่าหากตื่นแล้วให้ไปรอที่ห้องโถงกลาง จะได้ป้อนนางกินอาหาร นางกระโดดลงจากเตียงอย่างดีอกดีใจ กระดิกหางที่เหลือเพียงหางเดียวอย่างยินดีปรีดา วิ่งอย่างกระตือรือร้นไปที่ห้องโถงกลาง กลับมองเห็นที่หน้าลานดอกไม้ จือเฮ่อไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงกำลังร้องไห้พลางเถียงอะไรบางอย่างกับตงหัว นางเห็นว่าเข้าไปหาในเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงแอบหลบที่ด้านหลังต้นพุทราคอเอียงต้นหนึ่งอย่างเงียบกริบ เพราะทางบ้านอบรมมาดี ไม่สะดวกใจจะแอบฟังว่าเขาสองคนสนทนาอะไรกัน จึงก้มศีรษะลงใช้อุ้งเท้าปิดหูที่ไวมากเสมอมา
ทั้งสองคนถกเถียงกันนานมาก ส่วนมากจือเฮ่อจะเป็นฝ่ายพูด แว่วมาเข้าหูสั้นๆ ที่อุ้งเท้าเล็กๆ อวบอูมของนางปิดไม่มิดอย่างกระเส็นกระสาย ตะเบ็งเสียงจนนางเวียนศีรษะ ครั้นเห็นในที่สุดคนทั้งสองก็คุยจบไปหนึ่งยกไม่ได้พูดอะไรอีก นางจึงลดอุ้งเท้าลง กลับได้ยินตงหัวพลันเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ในเมื่อข้ารับปากอี้ฟู่[15]แล้วว่าจะดูแลเจ้า ย่อมไม่มีทางไม่แยแสเจ้า เจ้าจะถือสาหาความสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปไย?”
ตงหัวจากไปเนิ่นนาน นางจึงค่อยมุดออกมาจากด้านหลังต้นพุทรา จือเฮ่อยิ้มตาหยีมองดูนาง
“เจ้าดูสิ เจ้าเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง กลับเฝ้าคิดเพ้อฝันจะได้ครองอี้ซยง[16] ไม่รู้สึกว่าน่าขันเกินไปแล้วหรือไร?”
นางออกจะเสียใจอยู่บ้าง แต่กำลังใจยังคงเข้มแข็งยิ่ง เห็นว่าถึงแม้การได้ยินตงหัวกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาด้วยหูตัวเองจะชวนให้รู้สึกเสียใจอยู่หลายส่วน แต่แท้จริงแล้วเขาก็แค่พูดความจริงออกมาเท่านั้น หนทางในการไล่ตามเกี้ยวพาตงหัวสายนี้ ไม่ได้เดินง่ายๆ จริงแท้ ตัวนางยังจำเป็นต้องก้าวหน้าขึ้นอีกนิด ไหนเลยจะคาด เรื่องนี้เป็นเพียงชนวนเหตุเท่านั้น สถานการณ์หลังจากนั้นมาสามารถใช้ประโยค “ผีซ้ำด้ำพลอย” มาบรรยายได้พอดี ความสะเทือนใจจากเรื่องราวความหลังที่ไม่ค่อยอยากจะย้อนนึกถึงหลายฉากหลายตอนเคาะปลุกนางหนักๆ จนตื่นจากฝันหวาน ทุกฉากทุกตอนล้วนแต่สะเทือนใจ แม้ว่านางจะกล้าหาญกว่าจิ้งจอกน้อยวัยเดียวกันตัวอื่นอย่างมากเสมอมา จะอย่างไรก็ยังคงอายุเยาว์ จึงรู้สึกเสียใจน้อยใจ และค่อยๆ รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
การประลองรอบนั้น จือเฮ่อเป็นฝ่ายได้ชัยโดยสิ้นเชิง ความจริงนางเองก็มิได้รู้สึกว่าการพ่ายแพ้ให้กับจือเฮ่อแล้วจะเป็นอย่างไร เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ตงหัวหันมารักนางได้ ออกจะน่าทอดถอนน่าหดหู่อยู่บ้าง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจือเฮ่อจึงได้ขัดตานางนัก ทั้งที่นางตัดสินใจจะไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว จือเฮ่อยังไม่ยอมให้นางสงบใจได้อีก โดยเลือกคืนที่นางจะจากไปคืนนั้น จงใจสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเฉิดฉายมาเสียดแทงใจนาง แสร้งทำเป็นลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน
“ข้ากับอี้ซยงอยู่ด้วยกันมาเก้าหมื่นปี ข้าเกิดมาเขาก็เป็นคนเลี้ยงดูจนโตมากับมือ ในที่สุดวันนี้ก็จะแต่งให้กับเขา ข้าสุขใจนัก เจ้าเป็นจิ้งจอกน้อยที่ใจดี เจ้าเองก็รู้สึกสุขใจแทนข้าเหมือนกันกระมัง?” แล้วกลับดึงหูนางหิ้วนางขึ้นไป แดกดันด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้มว่า “เป็นไร เจ้าไม่สุขใจหรือ? ที่แท้...เจ้าไม่สุขใจดอกหรือ”
นางจำได้ว่าดวงจันทร์ในคืนนั้นทั้งกลมทั้งใหญ่ เมื่อเหยียบไว้ใต้เท้า ก็ราวกับกำลังเหยียบสายธารแห่งโชคชะตา ธารสายนี้ลึกยิ่ง และกลม กำลังจะจมนางจนมิด
เรื่องราวเก่าก่อนวาบผ่านไปดั่งหมอกควัน เฟิ่งจิ่วจับจ้องจือเฮ่อที่เพิ่งจะถวายการฟ้อนรำเสร็จสิ้นบนเวทีเมฆ เห็นว่าเวลาสั้นๆ สามร้อยปี สหายเก่ามิได้เปลี่ยนแปลง
กาลก่อนนางถูกจือเฮ่อกลั่นแกล้งรังแกมาบ้าง แต่ด้วยความปักใจมั่นต่อตงหัว นางต่างตีความการกลั่นแกล้งรังแกเหล่านี้อย่างโง่เขลาว่าเป็นการทดสอบที่สวรรค์มีต่อนาง เห็นว่าจื่อเฮ่ออาจจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สวรรค์ทรงใช้ทดสอบนาง หลังจากลาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามาแล้ว นางค่อยได้สติในเรื่องนี้ขึ้นหลายส่วนในที่สุด ตระหนักอย่างหนักอึ้งว่าความจริงแล้วจือเฮ่อเป็นเพียงคู่แค้นของนางล้วนๆ นางหลงปล่อยให้จือเฮ่อรังแกเอาอยู่ฝ่ายเดียวมาตั้งหลายร้อยปี แต่ครั้นจะจงใจแล่นกลับไปสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สนองคืนความอยุติธรรมทุกเรื่องราวทุกเหตุการณ์ที่กาลก่อนเคยได้รับกลับไปทั้งหมด ตัวนางก็จะดูใจแคบเกินไป ทำอย่างไรจึงจะสามารถทั้งล้างแค้นและแสดงให้เห็นว่านางใจกว้างหนอ? นางขบคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังและระมัดระวังอยู่เนิ่นนาน ขบคิดไม่ได้คำตอบ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเลิกล้มแต่เพียงเท่านี้
เรื่องราวเว้นช่วงมาสามร้อยกว่าปี โอกาสนี้ในวันนี้เหมือนสวรรค์ทรงทบทวนความคิดของนางกระจ่างแจ้งแล้วจงใจจัดเตรียมให้กระนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะไปรานเจตนาดีที่สวรรค์ทรงอุตส่าห์มีให้ได้อย่างไร ทั้งได้พบกันในวันนี้ คู่แค้นผู้นี้ยังหาญกล้ายิ้มให้นางอย่างท้าทายเช่นนี้อีก นางเห็นว่า หากนางไม่ให้ฝ่ายนั้นได้สวยสักหน่อย จะเป็นการผิดต่อที่ฝ่ายนั้นยิ้มเสียสวยปานนั้นปะไร
เทพธิดาผู้ติดตามรับใช้ยืนถ้วยที่แข็งแรงถ้วยใหม่มาให้ รอยยิ้มแดกดันในดวงตาของจือเฮ่อยิ่งลึกล้ำ ผนึกอยู่ตรงหางตา เมื่อยกขึ้นเล็กน้อย ก็แฝงความหมายลำพองใจอยู่หลายส่วน
เฟิ่งจิ่วรับถ้วยมา ได้เห็นรอยยิ้มท้าทายยิ่งขึ้นนี้ของจือเฮ่อ ก็โค้งมุมปากยิ้มตอบไปเช่นกัน
ที่ข้างกาย ป๋ายเฉี่ยนกูกูของนางคลี่พัดจีบปรายตามองจือเฮ่อบนเวทีเมฆ แล้วปรายตามามองนาง วางท่าเคร่งขรึมสำรวม เปล่งเสียงดังฟังชัดกล่าวถ้อยคำตำหนิใส่นางว่า
“เทียนจวินกำลังทรงปรึกษาเรื่องจริงจังกับปวงขุนนาง เวลานี้เจ้ามีฐานะเป็นกษัตรีย์แห่งชิงชิว มีโอกาสได้ประจักษ์พระบารมีสดับฟังคำสอนสั่งบางประการของใต้ฝ่าพระบาท ไม่สงบใจตั้งสมาธิเงี่ยโสตน้อมรับฟัง เอาแต่อมยิ้มเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ถึงแม้ดูเผินๆ เหมือนกำลังกล่าวตำหนินาง แต่นางกับกูกูร่วมกันแสดงงิ้วคู่สดหลอกอำท่านพ่อผู้เถรตรงของนางมาไม่ใช่แค่ปีสองปี จึงรับมุกในทันทีประสานมือกล่าวว่า
“ผู้หลานไม่กล้า ผู้หลานเพียงแต่นึกทอดถอนว่าที่ชิงชิวของพวกเรา หากมีเซียนผู้หนึ่งกระทำความผิดถูกขับไล่ออกไป จะต้องสร้างคุณความชอบใหญ่หลวงเทียมฟ้าจึงจะสามารถกลับมาอยู่ในสมุดรายนามเซียนได้อีกครั้ง ไม่กี่วันมานี้ได้ยินกูฟู่บอกว่าแดนทักษิณมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง เดิมทีผู้หลานคิดว่า องค์หญิงจือเฮ่อเป็นเทพควบคุมฝน สามารถออกรบได้เช่นกัน ยังกังวลอยู่เทียวว่าต้องส่งองค์หญิงจือเฮ่อไปที่แดนทักษิณสร้างความชอบใดสักอย่างจึงจะสามารถกลับคืนสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าอีกครั้งได้ ที่แท้ไม่จำเป็นต้องลงโทษหนักหนาปานนั้น ความจริงฟ้อนรำสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ผู้หลานเห็นว่าหลงกังวลแทนองค์หญิงจือเฮ่อโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุนี้เมื่อแรกจึงได้ยิ้มอย่างโล่งใจ ผู้หลานยังคิดว่ากฎธรรมเนียมของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าช่างเปิดกว้างและมีน้ำใจนัก ด้วยเหตุนี้ต่อมาจึงได้ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม แต่แล้วผู้หลานพลันนึกถึงว่าองค์หญิงจือเฮ่อเก่งกาจทั้งเชิงรบและฟ้อนรำ กระทำความผิดแล้วสามารถโชคดีได้รับการอภัยโทษ หากว่าเซียนที่มิได้เก่งกาจมีวิชาใดผู้หนึ่งกระทำความผิด ควรทำอย่างไรดีเล่า ด้วยเหตุนี้ในภายหลังจึงได้ยิ้มอย่างกังขา”
เหล่าเซียนในงานเลี้ยงทุกคนต่างฟังออกว่า ถ้อยคำกล่าวของเจ้าหญิงแห่งชิงชิวท่านนี้เป็นการหักหน้าเทียนจวินท่านผู้เฒ่า แต่นางกลับหักหน้าได้อย่างสัตย์ซื่อจริงใจ นอบน้อมถ่อมตน และเกรงอกเกรงใจยิ่ง
เฟิ่งจิ่วประสานมือคารวะอย่างเกรงอกเกรงใจให้แก่เหล่าเซียนในงานเลี้ยงทุกคน กล่าวอย่างนอบน้อมถ่อมตนต่อไปว่า
“ถิ่นแคว้นบ้านนอกป่าเถื่อนความเห็นล้าหลัง ทำให้สหายเซียนทุกท่านต้องขบขันแล้ว” ยามนั่งลงยังประสานมือแต่ไกลอย่างสัตย์ซื่อจริงใจให้แก่เทียนจวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงอีกครั้ง
พัดของเหลียนซ่งสะกิดเจดีย์เทียนข้างๆ มือของตงหัว
“นางเอ่ยถ้อยถากถางขึ้นมา ฝีปากกลับคมมิใช่น้อยเหมือนกัน วาจาในครั้งนี้พูดได้ไม่แพ้ท่านแล้ว ดูท่าทางฟู่จวินของข้าต้องปวดศีรษะเสียแล้ว”
ตงหัวกุมถ้วยน้ำชาหมุนคลึงอยู่ในมือ มองดูเฟิ่งจิ่วแห่งตระกูลป๋ายที่เสแสร้งทำเป็นนั่งอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนมีมารยาทซึ่งอยู่ไกลออกไป
“กระไรได้ ข้าพูดกระชับกว่านางมากนัก”
เทียนจวินผู้ประทับบนบัลลังก์คาดไม่ถึงจริงแท้ว่าจะมีงิ้วฉากนี้ แต่สมแล้วที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเทียนจวิน ศิลปะวิชาพลิกโฉมหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือฝึกฝนมาจนเข้าถึงแก่นแท้ ดวงตาเจ้าสวรรค์อันทรงอำนาจบารมีกวาดมองภายในตำหนักไปหนึ่งรอบ พริบตาเดียวก็ตัดสินผลดีผลเสียได้กระจ่างแจ้ง กล่าวเสียงหนัก
“ข้อกังขานี้ขององค์หญิงแห่งชิงชิวเสนอได้เลิศล้ำยิ่ง กฎธรรมเนียมของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเข้มงวดเที่ยงธรรมเสมอมา หากจือเฮ่อจะกลับขึ้นสู่สวรรค์ ย่อมต้องสร้างความชอบหนึ่งประการ” หยุดเว้นจังหวะ ดวงตาเจ้าสวรรค์กวาดมองทั่วทั้งท้องห้องโถงอย่างทรงอำนาจอีกครั้ง กล่าวเสริมว่า “ข้อนี้ก็เป็นกฎระเบียบที่เขียนตราไว้อย่างชัดเจนในประมวลกฎระเบียบแห่งสวรรค์เช่นกัน” แต่ยิ่งรู้สึกว่ากฎระเบียบเข้มงวดเที่ยงธรรมมากเกินไป ยิ่งไม่แสดงให้เห็นว่าเขาคือจอมเทพผู้เมตตา หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวเสริมอีกครั้งว่า “ถึงกระนั้น ความเคลื่อนไหวผิดปกติของแดนทักษิณยามนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์ เรื่องนี้ไว้ค่อยประชุมในภายหลังก็ไม่สาย”
เฟิ่งจิ่วยังคงรักษาท่วงทีอ่อนน้อมถ่อมตนมีมารยาทอย่างไม่รังเกียจว่าจะเมื่อย ยิ้มดุจลมวสันต์แปรพิรุณร้อยอุทกคืนทะเลให้แก่จือเฮ่อบนเวทีแต่ไกล ใบหน้าของจือเฮ่อซีดเผือดปานกระดาษ ดวงตาโตเรียวยาวทั้งคู่ราวกับจะพ่นเปลวไฟออกมาได้ในอึดใจถัดมา ถลึงตาจ้องตอบนางอย่างดุดัน
ท่ามกลางความเงียบสงัดไปทั้งอุทยาน เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ให้เปิ่นจวินทำแทนเถิด” ปลายยอดของเจดีย์เฮ่าเทียนหยุดอยู่บนปลายนิ้วของตงหัว ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย “หากการเลื่อนนางขึ้นสวรรค์จำเป็นต้องให้นางออกศึกละก็”
จือเฮ่อเงยหน้าขวับทันควัน สีแดงค่อยๆ กลับคืนสู่ใบหน้าที่ซีดขาว แผ่ขยายจากสองแก้ม ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกายวาดหวังลึกล้ำ ดุจดั่งกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
เทียนจวินก็ตกตะลึงเช่นกัน กวาดตามองเหล่าเซียนในงานเลี้ยงอย่างไม่กระโตกกระตาก นอกจากตงหัวก็มีป๋ายเฉี่ยนที่ตำแหน่งสูง กำลังจะเอ่ยปากถามความเห็นของป๋ายเฉี่ยน ฝ่ายหลังได้คลี่พัดจีบเอ่ยยิ้มๆ อย่างสนิทสนมยิ่งขึ้นเสียก่อน
“ยามอยู่ชิงชิวก็ได้ยินแล้วว่า สองบุพการีผู้ล่วงลับขององค์หญิงจือเฮ่อเคยมีบุญคุณเลี้ยงดูตี้จวิน ตี้จวินเป็นผู้ให้ความสำคัญต่อมิตรภาพน้ำใจโดยแท้” นับว่าเห็นด้วยแล้ว
เฟิ่งจิ่วมองตงหัวอย่างเย็นชา แล้วมองจือเฮ่อ ใบหน้ากลับคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ กล่าวสนับสนุนกูกูของนางว่า
“ตี้จวินกับองค์หญิงช่าง ‘พี่ชายรักใคร่น้องสาวเคารพ’[17] โดยแท้” แล้วไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำอีก ก้มหน้าก้มตาก้มศีรษะแกะเปลือกเมล็ดแตง 2-3 เมล็ด
เซียนคนอื่นๆ ย่อมไม่มีผู้ใดมีความกล้า หาญหักหน้าตงหัว เทียนจวินไว้มาดอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเคยชิน เอ่ยเสียงหนักอนุญาตเรื่องนี้
เหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันทั้งหมดนี้ ทำให้เหล่าเซียนทั้งหลายชมดูอย่างตื่นเต้นคึกคักยิ่งนัก แต่เป็นการมุงดูเรื่องสนุกเสียละมาก แท้จริงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้น ยังคงไม่กระจ่างดีนัก เพียงแต่ได้รับประโยชน์มาเล็กน้อย : ได้จับคู่นามของบรรดาซ่างเซียนซ่างเสินที่กาลก่อนเคยได้ยินได้ฟังจากคำเล่าลือเข้ากับเจ้าตัว อาทิเช่นผู้ที่ตงหัวหยอกเอินด้วยท่าทีเป็นการเป็นงานในตำหนักเมฆครามเมื่อเช้านี้ ที่แท้มิใช่น้องสาวบุญธรรมของท่านองค์หญิงจือเฮ่อ หากแต่เป็นกษัตรีย์แห่งชิงชิวฝ่าบาทเฟิ่งจิ่วซึ่งเลื่องชื่อลือนามมานาน แต่ทว่าก็มีเซียนที่ช่างสังเกตสังกาอยู่รายสองรายมองเงื่อนงำบางอย่างออก เนื่องจากนั่งอยู่ไกลจากโต๊ะเจ้าภาพมาก จึงแอบกระซิบกระซาบว่า
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ ข้าเข้าใจว่าอย่างนี้ เจ้าฟังดูนะว่าถูกต้องหรือไม่ ก็คือเป็นเรื่องชิงความโปรดปรานระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้ น้องสามีผู้นี้คงจะมีอาการติดพี่ชายอยู่บ้าง พี่สะใภ้เองก็ขัดตาน้องสามีผู้นี้ ดังนั้น...”
ต่อมาในภายหลังเซียนผู้ช่างสังเกตสังกาผู้นี้ เนื่องจากมีความสามารถในการตีความดีเลิศ ทั้งยังมีเหตุผลรองรับอย่างหาได้ยากยิ่ง จึงถูกส่งไปเป็นลูกมือของเทพชะตาผู้เขียนลิขิตสมุดชะตาชีวิตมนุษย์โลก เป็นที่เชื่อใจใช้งานของเทพชะตาอย่างยิ่ง อนาคตสดใสรุ่งโรจน์
ความจริงแล้วในครั้งนี้ ป๋ายเฉี่ยนมาร่วมงานเลี้ยงแทนเยี่ยหัวสวามีของนาง
เมื่อวานนี้เจ๋อเหยียนซ่างเสินแห่งป่าท้อสิบหลี่เสด็จมาเยือนทางประตูใหญ่ของสวรรค์ ซ่างเสินท่านนี้ปกป้องจุดอ่อนของพี่น้องตระกูลป๋ายเสมอมา คาดว่าโดยส่วนตัวคงมีสิ่งใดจะชี้แนะสั่งสอนเยี่ยหัว จึงระบุชื่อเขาออกมาออกคำสั่งให้เขาติดตามไปเป็นเพื่อน งานราชการสำคัญบางงานของเยี่ยหัว จึงได้แต่ให้ป๋ายเฉี่ยนควบกระทำแทนเขา
ป๋ายเฉี่ยนมีนิสัยไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่ใคร่ชอบออกงานสังคม ครั้นเห็นว่าดื่มสุราผ่านไปสามรอบ เทียนจวินจรลาไปตามระเบียบ ก็จรลาตามเช่นกัน เดิมทีคิดจะถือคุณธรรมพาเฟิ่งจิ่วจรลาไปด้วย เห็นหลานสาวรินเองดื่มเองอย่างสุโขยิ่ง ก็คิดว่าแต่เดิมเฟิ่งจิ่วเป็นเด็กสาวที่ร่าเริง เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักชิ่งอวิ๋นกับก้อนแป้งทั้งวันไม่ค่อยดีนัก ควรออกมาเดินเล่นให้มากสักหน่อย จึงค่อยมีลักษณะนิสัยของเด็กสาวขึ้นมาบ้าง จึงเพียงแต่กำชับ 2-3 คำ ให้เฟิ่งจิ่วระวังตัวด้วย
คำกำชับนี้ของป๋ายเฉี่ยนกำชับโดยสูญเปล่าเสียแล้ว คืนนี้เฟิ่งจิ่วดื่มสุราอย่างห้าวหาญยิ่งนัก มีเซียนคนใดมาคารวะสุรา นางล้วนแต่ดื่มจนเกลี้ยงจอก ได้พบผู้ที่ต้องตา นานๆ ครั้งยังคารวะตอบจอกสองจอก ในใจเหล่าเซียนล้วนแต่ทอดถอนชมเชย มีคำกล่าวว่านิสัยดื่มสุราสะท้อนนิสัยคน ต่างนึกว่ากษัตรีย์ผู้นี้นิสัยห้าวหาญเปิดเผยทั้งยังจิตใจกว้างขวาง ช่างน่านับถือชื่นชมนัก แต่นี่คือการเข้าใจผิดโดยแท้ ความจริงแล้วเนื่องจากสุราที่จัดให้ในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ล้วนแต่เป็นสุราน้ำผึ้งผลไม้ที่เจ้าแห่งบุปผชาติเป็นผู้บ่มทั้งสิ้น สุรานี้รสชาติอ่อนจาง ฤทธิ์ในภายหลังกลับแกร่งกร้าวยิ่ง เฟิ่งจิ่วไหนเลยจะทราบ นึกว่าที่ดื่มคือน้ำผลไม้อะไรสักอย่าง เห็นว่าแค่ดื่มน้ำผลไม้ยังกระมิดกระเมี้ยนปานนี้ มิใช่บุคลิกของนาง เฟิ่งโหม่วเหริน[18]แห่งชิงชิวโดยแท้...นอกจากนี้แล้วยังมีอีกประการ นางรู้สึกอยู่กลายๆ ว่าคืนนี้ไฟโทสะในอกค่อนข้างจะลุกแรง จึงคิดจะยืมน้ำผลไม้นี้ราดรดมันสักหน่อย
แต่รดไปรดมา นางก็ชักจะเวียนศีรษะ ชักจะจำไม่ได้ว่าราตรีนี้ราตรีใด คนผู้ใด เรื่องราวใด ณ ที่ใด รู้สึกรางๆ เพียงว่าใครพูดอะไรคล้ายๆ “เลิกงานเลี้ยง” จากนั้นเทพเซียนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็เข้ามากล่าวทักทายนาง นางเริ่มจะสติเลอะเลือน กลับยังคงแสร้งวางท่าภูมิฐานเยือกเย็นโดยสัญชาตญาณ กล่าวทักทายตอบทีละคนๆ
เพียงไม่นาน อุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ก็เงียบสงัดไร้เสียงคน เหลือเพียงไข่มุกประกายราตรีที่ยังคงถักห้อยอยู่ระหว่างแมกไม้ ต้นไร้กังวลทอทาบเงาไม้แลสับสนอยู่ประปราย
เฟิ่งจิ่วจ้องมองจอกสุราในมือ แท้จริงแล้วนิสัยยามเมาของนางนั้นดีเลิศ แม้จะเมาแล้วคนอื่นก็มองไม่ใคร่ออก เพียงแค่เคลื่อนไหวรับรู้ค่อนข้างช้า นานๆ ครั้งเมื่อเมาหนักมากก็จะหยุดเคลื่อนไหวรับรู้ อย่างเช่นเวลานี้ นางรู้สึกว่าในสมองขาวโล่งไปหมด ตัวนางคือใคร มาอยู่ที่นี่ทำไม แล้วในจอกน้อยตรงหน้าบรรจุน้ำอะไรอยู่ นางไม่ทราบทั้งสิ้น
นางลองเลียดูหนึ่งคำ เห็นว่าน้ำในจอกรสชาติน่าจะปลอดภัยยิ่ง พลันรู้สึกคอแห้งอยู่บ้าง รังเกียจว่าจอกสุราเล็กเกินไป ขบคิดเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนเป็นถ้วยน้ำชา ขบคิดอีกที เปลี่ยนเป็นอ่างน้ำชาไปเลยดีกว่า...พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังหนักแน่นอย่างรับรู้ช้าไปครึ่งจังหวะ
พร้อมกับกลิ่นไม้จันทน์ขาวรวยริน เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้านาง
นางเงยหน้าขึ้นอย่างใคร่รู้ ได้เห็นตงหัวที่ไปแล้วย้อนกลับ หลุบตาลงเล็กน้อย สายตาจับอยู่ที่นิ้วมือของนาง
“เจ้ายังอยู่ที่นี่ทำอะไร?”
เมื่อได้เห็นเขา สมองของนางที่ตลอดมาไร้ปฏิกิริยากลับหมุนแล่นอย่างรวดเร็วยิ่ง ครู่เดียวก็นึกได้ว่าเขาคือใคร และนึกได้ว่าตัวนางคือใคร กลับเป็นความทรงจำเมื่อสามร้อยปีก่อนเล่นตลก เรื่องราวในสามร้อยปีนี้นางจำไม่ได้สักเรื่องเดียว รู้สึกเพียงเวลานี้ยังคงอยู่ในวังไท่เฉินกง ชายหนุ่มผมเงินผู้รูปงามและมีแววตาลึกล้ำคนนี้คือตงหัว และตัวนางคือจิ้งจอกน้อยที่รักเขา คิดหาทุกวิถีทางจนได้ใกล้ชิดเขาในที่สุดตัวนั้น
นางมองเขาด้วยความคิดเชื่องช้าอยู่อึดใจใหญ่ ยกถ้วยน้ำชาในมือให้เขาดู
“ดื่มน้ำผลไม้ไง”
ตงหัวก้มกายลงดมถ้วยที่นางชูขึ้น เงยหน้าขึ้นมองนาง “นี่คือเหล้า”
นางพินิจดูเขาอีกครู่ใหญ่ สีหน้าปรากฏแววสงสัย เห็นในมือขวาของเขากุมศาตราอาคมลักษณะเป็นเจดีย์อยู่ชิ้นหนึ่ง ก็มองข้ามปัญหาเรื่องน้ำที่นางดื่มคืออะไรกันแน่ไปโดยอัตโนมัติ ถามเขาอย่างลังเล
“ท่านจะไปวิวาทกับคนอื่นใช่หรือไม่?” ขบคิดแล้วพูดว่า “งั้นท่านพาข้าไปด้วย ไม่ก่อเรื่องให้ท่านดอก” กลับลืมเสียแล้วว่าเวลานี้ตัวนางอยู่ในร่างคน ยังคงหลงนึกว่าเป็นจิ้งจอกภูตตัวน้อยที่เขาสามารถอุ้มไว้ในอ้อมแขนได้ทุกเมื่อตัวนั้น ทำมือทำไม้พูดว่า “ข้าตัวเล็กแค่นี้เอง ท่านยัดข้าไว้ตรงไหนก็ได้”
จานฮัวบนศีรษะเริ่มจะหลวมคลาย ตกลงบนโต๊ะดัง “ตุบ”
ตงหัวนั่งลงข้างๆ นาง หยิบจานฮัวดอกนั้นขึ้นมาส่งให้นาง “เจ้าเมาแล้ว”
นางจ้องดูจานฮัวอยู่เนิ่นนาน ไม่ได้รับมา สายตาเบนออกห่าง ขบคิดอีกครู่ใหญ่ ก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
“คงจะเมานิดหน่อย” แล้วกุมศีรษะพูดว่า “เวียนหัวจัง” คงจะเวียนศีรษะหนักมาก ร่างกายเอียงล้มไปด้านข้างอย่างควบคุมไม่อยู่
ตงหัวยื่นมือไปพยุงนางไว้ ประคองนางให้นั่งตรงๆ เห็นนางนั่งตรงแล้ว ค่อยกล่าวว่า
“ยังหาทางพบไหม? ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
“โกหก” นางประคองถ้วยนิ่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ตอบไม่ตรงคำถามว่า “ตอนนั้นท่านจะไปสั่งสอน...” นิ่งเหม่อค้าง กุมศีรษะคิดอยู่เนิ่นนาน “ใครแล้วนะ” กล่าวอย่างน้อยใจ “ท่านให้ข้ารอท่านอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ไม่ได้กลับมา” แล้วตัดพ้อว่า “ข้าเสียอีกเป็นฝ่ายไปหาท่านเอง”
ตงหัวกำลังศึกษาเรื่องเสียบจานหัวลงในมวยผมของนาง เทียบตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดไปพลาง กล่าวอย่างสงสัยไปพลาง “เรื่องเมื่อไรรึ?”
นางก้มศีรษะลงให้ชายหนุ่มจัดการผมของตนอย่างว่าง่าย ได้ฟังที่เขาถามก็เงยหน้าขึ้น
“ก็เมื่อไม่นานมานี้ไง”
ตงหัวพูดว่า “อย่าขยับเปะปะ”
นางไม่ขยับอีกจริงๆ กลับกล่าวย้ำอย่างมั่นใจ “ข้าไม่มีทางจำผิดดอก” แล้วเสริมว่า “ความจำข้าดีมาก” เสริมเพิ่มอีกว่า “ความจำของพวกเราจิ้งจอกดีกันทั้งนั้น”
ชายหนุ่มเสียบจานฮัวลงในมวยผมของนางอย่างเรียบร้อยเหมาะเจาะ ชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“เจ้าจำผิดคนอีกแล้วหรือ? ข้าคือใคร?”
“ตี้จวินไง” นางลุกขึ้นยืน ดวงตากลมโตดำขลับเป็นประกายจับจ้องมองเขาอยู่อึดใจใหญ่ กล่าวราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “ตงหัว แต่ท่านน่ะแย่ที่สุด”
ได้ยินนางเรียกชื่อของเขาตรงๆ ชายหนุ่มมองดูนางอย่างประหลาดใจระคนขบขัน
“เพราะอะไร?”
นางกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านบอกว่าข้าเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง” ม่านน้ำรื้นขึ้นในดวงตา “ตอนที่ข้าไป ท่านไม่ได้รั้งข้าไว้ด้วย”
ตงหัวตกตะลึง พูดว่า “ข้าจำไม่ได้ว่าข้า...” ยังพูดไม่ทันจบ นางกลับตัวเอียงวูบอย่างมึนงงวิงเวียน ล้มลงสู่วงแขนของเขาพอดี ที่แท้ก็เมาหลับไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองนาง คำพูดเมื่อครู่นี้ของนางย่อมเป็นคำพูดเหลวไหล ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความ แสงจากไข่มุกประกายราตรีทอทาบลงบนดวงหน้าของนางอย่างอ่อนโยน เขากลับไม่เคยทราบมาก่อนว่าเวลานางเมาจะเป็นเช่นนี้ ที่แท้...นางก็มีเวลาที่ว่าง่ายอย่างมากเช่นกัน
ชายหนุ่มช้อนร่างนางขึ้นอุ้ม เตรียมจะส่งนางกลับตำหนักชิ่งอวิ๋น เห็นนางซุกศีรษะเข้าสู่อ้อมอกเขามากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว นิ้วเรียวราวลำเทียนขยุ้มอกเสื้อเขาเบาๆ ดอกเฟิ่งอวี่บนหน้าผากแดงจัดจนงามเยือกเย็นเย้ายวนยิ่ง สีหน้าบนดวงหน้าอมชมพูกลับดูบริสุทธิ์นัก ไม่เหมือนกษัตรีย์ผู้ทรงศักดิ์สูงสุดแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วกลับเหมือน...เมื่อกี้นี้นางพูดว่าอะไรนะ? ชายหนุ่มนิ่งคิด ใช่แล้ว...สัตว์เลี้ยง
<>::<>::<>::<>::<>::<>