หัวข้อ : บทที่ 4 - 01

โพสต์เมื่อ 11 พ.ค. 2557, 22:02

บทที่ 4

 

 

เฟิ่งจิ่วนอนหลับอุตุไม่รู้เรื่องรู้ราว ยามตื่นขึ้นมา ริมโสตได้ยินสายลมร้องคำรามเร็วรี่ เห็นว่าตัวนางน่าจะกำลังฝัน แล้วหลับตานอนต่ออย่างสบายใจ สองตาเพิ่งปิดลง พลันเอะใจลืมตาขึ้นอีกครั้งทันควัน ดาวเทพสุริยอรุณควบขับดวงตะวันสาดส่องรัศมีทองแห่งสุริยอรุณไปทั่วทั้งผืนฟ้า ครั้นควบขับเข้ามาใกล้เข้า มองเห็นท่านผู้เฒ่าดาวเทพสุริยอรุณลนลานลงจากรถ ค่อยๆ กลายเป็นจุดเล็กๆ คุกเข่ากราบไหว้มาแต่ไกล

บรรพตเซียนลูกแล้วลูกเล่าที่เร้นกายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆลอยวาบผ่านใต้เท้าไป ตกสู่สายตาเพียงขุนเขาเขียวขจีเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วตะลึงอยู่อึดใจใหญ่ โคจรพลังปราณเต็มที่ยกมือขึ้นอย่างสั่นสะท้าน ครั้นมองดู ตัวนางยังคงเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นจริงๆ นางมองไปรอบด้านอย่างงุนงง ก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้ยินเสียงลมถนัดชัดเจนถึงเพียงนี้...ที่แท้ตัวนางถูกผูกไว้บนด้ามของกระบี่ชางเหอ สะพายอยู่ข้างเอวของตงหัว ติดตามเขาขี่ลมเหาะเหินอย่างรวดเร็ว

นางย้อนนึกอย่างสับสนว่าเมื่อคืนนี้น่าจะหนีออกมาแล้วนี่นา ไฉนจึงมาโผล่ที่นี่ได้ อย่าบอกนะว่าหลังจากนั้นโดนจับตัวกลับไปอีกครั้ง? แต่นางไม่มีความทรงจำของเรื่องนี้เลย บางทีนางอาจจะไม่เคยหนีออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนที่ตงหัวเปลี่ยนไปสวมชุดจงอี เก็บนางกลับเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้งและเข้านอน นางก็นอนหลับตามไปด้วย ทั้งหมดหลังจากนั้นล้วนแต่เป็นความฝัน? นางพยายามสุดความสามารถที่จะทำให้ร่างกายหยุดนิ่งอย่างเยือกเย็น ยิ่งคิดก็ยิ่งมีเหตุผล และรู้สึกว่านั่นเป็นความฝันที่ดี น้ำตาแทบจะไหล

 

ครั้นบรรพตฝูอวี่ปรากฏแก่สายตา ได้สายลมเย็นแสนอนาถโชยพัดใส่ เฟิ่งจิ่วค่อยตระหนักอย่างเชื่องช้าว่า วันนี้ตงหัวกับเยียนฉืออู้ หนึ่งในเจ็ดราชาแห่งเผ่ามารจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่กันที่นี่ ที่แท้นางถูกพามายังแดนทักษิณอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่

 

พูดถึงบุญคุณความแค้นของตงหัวกับเยียนฉืออู้ งอนิ้วดูสามารถนับย้อนไปถึงเมื่อสามร้อยปีก่อน จากคำเล่าลือ ยังเป็นเพื่อสตรีนางหนึ่ง แน่นอนว่าคำเล่าลือนี้แค่เล่าลือกันในวงแคบๆ ไปอย่างนั้นเท่านั้น ผู้ที่ทราบความนัยส่วนใหญ่ล้วนแต่เห็นว่าตงหัวมิได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยสักนิด

กล่าวกันว่าในปีนั้น ราชามารชาดแห่งเผ่ามาร ซวี่หยาง[1] คิดจะยกองค์หญิงจีเหิงน้องสาวแท้ๆ ของตนให้สมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเผ่าเทพ เลือกไปเลือกมา เลือกได้มหาเทพตงหัวผู้ครองตัวเป็นโสดอยู่ในวังไท่เฉินกง ไหนเลยจะทราบพี่น้องร่วมสาบานของเขา ราชามารครามเยียนฉืออู้ ได้ลอบมีใจให้แก่องค์หญิงจีเหิงผู้ได้รับการขนานนามมาแต่ไหนแต่ไรว่าเป็นมาลีพูดได้แห่งพิภพมารมาเนิ่นนาน กระนั้น อุปนิสัยของจีเหิงเป็นผู้อ่อนไหวมากอารมณ์กวี ตลอดมาจึงค่อนข้างจะนิยมชมชอบคุณชายกรุ้มกริ่มที่สามารถแต่งกลอนกินใจ 2-3 บท ดีดพิณได้ 2-3 เพลงมากกว่า น่าเสียดายที่เยียนฉืออู้ได้ชื่อว่ากรุ้มกริ่มที่สุดในพิภพมารแดนทักษิณ แท้จริงแล้วกลับเป็นคนหยาบกระด้างผู้หนึ่ง องค์หญิงจีเหิงไม่ใคร่ต้องใจเขานัก และชื่นชมตงหัวที่พี่ชายของนางถูกใจซึ่งมีรสนิยมสูงล้ำมากกว่าอยู่บ้าง ทั้งยังมีอยู่ 2-3 ครั้งถึงกับกล่าวชมตงหัวหลายคำต่อหน้าเยียนฉืออู้ การกล่าวชมนี้ ย่อมกล่าวชมจนเกิดปัญหาขึ้น โดยเคาะไหชู่ที่เยียนโหม่วเหรินสะสมมาเนิ่นนานจนแตกโพละ คนแซ่เยียนไฟโทสะสุมแน่นอกโดยไม่อาจระบาย ทั้งจะไประบายใส่ตัวสาวงามก็ทำไม่ลง จึงส่งสารท้ารบไปยังประตูใหญ่ของวังไท่เฉินกงอย่างเหี้ยมหาญดุดัน มาพบตงหัวเพื่อขอท้าดวล ยามนั้นตงหัวปลีกตัวเร้นกายในวังมานานปีไม่ถามไถ่เรื่องราวทางโลก แต่ฝ่ายนั้นอุตส่าห์คิดหาหนทางส่งสารท้ารบมาจนถึงหน้าประตูบ้านแล้ว จึงได้รับไว้ ณ บรรพตฝูอวี่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฟ้าดินเปลี่ยนสี พืชหญ้าเหี่ยวเฉา สุดท้ายเนื่องจากเยียนฉืออู้ใช้เล่ห์โกง ฉวยโอกาสที่ตงหัวไม่ทันตั้งตัว ใช่หยกกักวิญญาณกักตัวตงหัวไว้ในเขตแดนปทุมมาสิบสามานย์ จึงค่อยทำให้เฟิ่งจิ่วได้มีโอกาสไปอยู่ข้างกายตงหัว เคียงข้างอยู่สามเดือน

 

เฟิ่งจิ่วในตอนนั้นนึกขอบคุณเยียนฉืออู้เป็นอย่างมาก เห็นว่าเมื่อถูกเขาก่อกวน เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างตงหัวกับเผ่ามารย่อมต้องล้มเหลวโดยปริยาย จึงค่อยสบายใจได้ อีกทั้งดูตงหัวไม่ได้อินังขังขอบกับเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีโดยแท้ ก็ค่อยๆ คลายความระแวดระวังลง เห็นว่าสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่แน่แล้ว

ไหนเลยจะคาดสามเดือนให้หลัง วังไท่เฉินกงกลับดอกไม้ผลิบานสิ้นชั่วหนึ่งคืน แขวนโคมขึ้นสูงผูกผ้าแดงมงคล ตะวันรุ่งสลัวมัว เกี้ยวเบาหลังหนึ่งหามผู้สูงศักดิ์ยิ่งใหญ่เข้าสู่ประตูใหญ่ของวัง ผู้สูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ผู้นี้ ก็คือพักตร์ชาดน้ำเคราะห์จีเหิงนั่นเอง บนสะพานหยกขาว ยอดพธูแหวกม่านลงจากเกี้ยว นิ้วเรียวราวลำเทียนแตะลงบนราวสะพานลายหงสา ปากแดงเรื่อฟันขาวสะอาด ดวงตาใสกระจ่างปรายมองมาอย่างเป็นมิตร ผืนน้ำทะเลสาบแผ่ไพศาล ม่านควันมรกตไหวกระเพื่อม เกศาเกล้าสูงส่องเงาเลือน ระลอกเลื่อมมรกตยังเอนเอียง[2] เพียงยืนร่างระหงอยู่ตรงนั้น ก็กลายเป็นทิวทัศน์อันเลือนรางงามอ่อนช้อย

เฟิ่งจิ่วอิงอยู่ข้างเท้าตงหัว มองจนตาค้าง

 

ทั่วทั้งวังไท่เฉินกง เฟิ่งจิ่วเป็นรายสุดท้ายที่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดหน้าสะพานหยกขาวจึงได้เกิดการแสดงฉากนั้นขึ้น ทั้งยังได้ทราบจากปากของจือเฮ่ออีกด้วย ที่แท้ตงหัวกลับรับปากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีครั้งนี้ ทั้งยังรับปากอย่างรวบรัดยิ่ง ถ้อยคำสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ได้ชอนไชเข้าสู่โสตประสาทอันรับรู้ล้าหลังของนาง ไม่เพียงประดุจฟ้าผ่าลงกลางแจ้ง ฟาดลงใส่ดังครืนครั่น นางพลันรู้สึกว่าฟ้าดินสลายสิ้น

ส่วนเรื่องที่ในวันแต่งงาน เจ้าสาวยอดพธูผู้คลุมผ้าคลุมศีรษะสีแดงเฉิดฉายเหตุไฉนจึงได้เปลี่ยนเป็นจือเฮ่อ 2-3 วันสุดท้ายนางผ่านมาอย่างมึนงงพร่าเลือน ไม่ใคร่จะเข้าใจดีนัก แต่ตอนนั้นจือเฮ่อกลับมีคำอธิบายให้นางพร้อมสรรพ บอกว่าในโลกมนุษย์มักจะมีเรื่องเช่นนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวที่มีใจให้กันบางคู่อายุเยาว์คึกคะนอง ยากจะเข้าใจถึงหัวใจของกันและกัน จำเป็นต้องรอถึงยามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใกล้จะแต่งงาน จึงค่อยพลันฉุกใจได้คิดสิการแล้ว นี่คือด่านอุปสรรคที่คู่รักส่งเสริมญาติสาว[3]จำเป็นต้องผ่าน ดังนั้นจึงกล่าวกันว่า แท้จริงแล้วการแต่งงานคือหินทดสอบทองคำ[4]ของรักแท้ นางกับตงหัวก็เป็นเช่นนี้เอง ยามนั้นเฟิ่งจิ่วรู้เห็นโลกมาน้อย เหตุผลประหลาดพิกลเช่นนี้กลับหลงเชื่อเสียสนิทได้ ตัวนางที่แสนซื่อถึงขีดสุดปวดร้าวเสียใจเกินจะพรรณนา สิ่งเดียวที่รู้สึกไม่เหมาะสมคืออายุของตงหัวน่าจะไม่อาจเรียกว่าเป็น “ชายหนุ่ม” ได้แล้ว การใช้หินทดสอบทองคำมาเปรียบเทียบ น่าจะไม่ได้ใช้กันแบบนี้เช่นกัน

 

มานึกดูในวันนี้ น่าจะเป็นจือเฮ่อแต่งเรื่องโกหกขึ้นเองทั้งหมด ไม่เช่นนั้นต่อมามีหรือจะเกิดเรื่องเทียนจวินพิโรธหนัก ให้จือเฮ่อลงไปพิภพเบื้องล่างฝึกฝนบำเพ็ญเพียรเป็นการลงโทษ ผ่านประสบการณ์เรื่องราวทางโลกมามากเข้า สมองก็มิได้บ้องตื้นเช่นกาลก่อนอีก ต่อมาภายหลังนางขบคิดเข้าใจแล้ว ความเป็นไปได้ที่ตงหัวจะต้องตาจือเฮ่อมีน้อยนิดมากโดยแท้ หากเขาวกอ้อมไปมาแล้วมาเกิดรักแท้ต่อน้องสาวบุญธรรมผู้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อคนนี้เข้าจริงๆ เขาก็ไม่คู่ควรต่อความรักเทิดทูนสุดหัวใจที่นางมีให้เขามาเนิ่นนานนับแต่ยังเยาว์

ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ นางได้สันนิษฐานอย่างคลุมเครือไว้แบบหนึ่ง รู้สึกอยู่รางๆ ว่าเรื่องราวน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องแบบนี้ ก็ไม่สามารถหาสิ่งใดพิสูจน์ยืนยันได้เช่นกัน นางรู้สึกเพียงว่า เมื่อครั้งนั้นที่ตงหัวพยักหน้าตกลงรับปากเรื่องแต่งงานกับจีเหิง ไม่แน่ว่า อาจจะต้องตาจีเหิงอย่างจริงใจโดยแท้ก็เป็นได้ ความจริงแล้ว ต่อให้นางใช้สายตาจับผิดสารพัดมาไตร่ตรอง องค์หญิงจีเหิงก็เป็นหญิงสาวแสนดีที่สามรักนวลเก้าสงวนตัว[5]อย่างหาได้ยากยิ่งผู้หนึ่งในบรรดาเซียนสตรีปิศาจหญิงมากมายล้นหลามทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน รูปโฉมงดงามอย่างไรไม่ต้องเอ่ยถึง รักนวลสงวนตัวมีเมตตาปัญญาเลิศอย่างไรไม่ต้องเอ่ยถึง อ่อนน้อมถ่อมตนมัธยัสถ์กตัญญูอย่างไรไม่ต้องเอ่ยถึง เพียงแค่ที่ยื่นมือเข้าช่วยนางกับตงหัวโดยมิได้หวังผลตอบแทนในเขตแดนปุทมมาสิบสามานย์ครั้งนั้น ก็น่าชื่นชมอย่างยิ่งแล้ว ตงหัวต้องใจนาง ตามเหตุผลก็เป็นเรื่องน้ำมาคลองเสร็จ[6] แม้ว่าในตอนนั้นตัวนางเฟิ่งจิ่วเองก็ช่วยชีวิตตงหัวในเขตแดนปทุมมาสิบสามานย์เช่นกัน แต่กระทั่งหนังสือละครที่ประหลาดแหวกแนวที่สุดที่กูกูของนางมีเก็บไว้ก็ยังไม่เขียนเช่นนี้ บอกว่าคุณชายรูปงามสง่าได้รับการช่วยเหลือจากคุณหนูผู้หนึ่งกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งพร้อมกัน ต่อมาภายหลังคุณชายผู้นี้ได้หลงรักสัตว์เลี้ยง มิได้หลงรักคุณหนู พ่ายแพ้แก่จีเหิง ในใจนางยอมรับนับถือยิ่ง

 

บนบรรพตฝูอวี่สายลมเย็นพัดหวีดหวิว เพียงพริบตาหมู่เมฆหนาทึบถาโถมมา ในความพร่าเลือนกลับแฝงกลิ่นอายสังหารอยู่หลายส่วน คล้ายคลึงสนามรบอย่างยิ่ง เฟิ่งจิ่วดึงสติกลับมาจากอดีต เดิมทีรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เหลือบสายตาขึ้นเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า ก็นึกยินดีโดยพลัน

นางถือกำเนิดในยุคสงบสุข สงครามเลื่องชื่อทั้งหลายที่ในพงศาวดารบันทึกไว้ นางเกิดไม่ทันสักครั้งเดียว จึงนึกกลุ้มใจเสมอมาว่ามิได้สั่งสมประสบการณ์ความรู้ในด้านนี้สักเท่าไร เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนอุตส่ามีเหตุการณ์อาเขยของนางเยี่ยหัวจวินสัประยุทธ์ครั้งใหญ่กับราชาปิศาจฉิงชาง ฟังว่าสถานการณ์ต่อสู้กันใหญ่โตอลังการมาก แต่เวลานั้นนางดันถูกกักตัวอยู่ที่โลกมนุษย์แห่งหนึ่งเพื่อตอบแทนบุญคุณอย่างโชคร้ายยิ่ง สองร้อยปีมานี้ ในวันเกิดทุกปีนางล้วนแต่อธิษฐานอย่างจริงใจ วาดหวังให้เทพเซียนผู้ใหญ่เลื่องลือนามไม่กี่ท่านทั่วผืนฟ้าแผ่นดินเกิดวิวาทต่อสู้กันเองในรัง แต่สวรรค์อาจจะทรงไม่มีหู จึงกลับบันดาลให้มิตรภาพของพวกท่านสนิทสนมแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกปี แต่เดิมนางมิได้คาดหวังอะไรกับความใฝ่ฝันเรื่องนี้นัก ไม่นึกเลยว่า วันนี้กลับจับพลัดจับผลูโชคดีมีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา นางแอบดีใจอยู่เล็กน้อย

ไม่ว่าอย่างไร ราชามารผู้นี้ก็เคยวางแผนเล่นงานตงหัวสำเร็จมาแล้ว แม้จะต่ำช้าไปสักหน่อย แต่ก็ดูออกว่าพอจะเก่งกาจอยู่เหมือนกัน น่าจะเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อ เล่าลือกันว่านิสัยของจอมมารผู้นี้ห้าวหาญเปิดเผยไม่ถือสาเรื่องปลีกย่อย คิดแล้วน่าจะเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ห้าวหาญหยาบกระด้าง ควงขวานเซวียนฮัวยักษ์คู่หนึ่ง เพียงกระทืบเท้าปฐพีไหวสะเทือนบรรพตโยกคลอน เพียงร้องตวาดสายลมเมฆาต่างเปลี่ยนสี ในจินตนาการของเฟิ่งจิ่ว ราชามารเยียนฉืออู้ควรจะมีน้ำหนักเช่นนี้ นางนึกจินตนาการไปพลาง ยอมสยบต่อภาพในจินตนาการของตัวเองไปพลาง กลั้นลมหายใจ รอให้ตงหัวแหวกเปิดชั้นหมอกหนาหนัก ให้นางมีบุญได้เห็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญเปิดเผยคนนี้

 

บรรพตฝูอวี่ตั้งอยู่ ณ พรหมแดนเชื่อมต่อระหว่างแดนทักษิณซึ่งเผ่ามารปกครองกับแดนอาคเนย์ซึ่งเผ่าจิ้งจอกขาวปกครอง ตั้งตระหง่านสูงทะลุยอดเมฆ ในหมู่เผ่าเทพและเผ่ามารล้วนแต่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง

เมฆหนาสลายตัว บนยอดบรรพตฝูอวี่กลับไม่มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำถือขวานเซวียนฮัวแต่อย่างใด เห็นเพียงหนุ่มน้อยชุดดำร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งกำลังนั่งยองๆ บนยอดเขาขบเมล็ดแตงอย่างรำคาญ เปลือกเมล็ดแตงกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เฟิ่งจิ่วกวาดมองไปรอบๆ ขบคิดว่าบางทีราชามารอาจจะมีเหตุใดทำให้ต้องเสียเวลา หางตากลับมองเห็นหนุ่มน้อยผู้ขบเมล็ดแตงเหาะพรวดขึ้นสู่เมฆขาวก้อนหนึ่ง แล่นตรงดิ่งเข้ามาหาตงหัวกับนาง มองดูหนุ่มน้อยผู้นั้นรูปงามสง่า ปากแดงฟันขาวหน้าตาดียิ่ง ไม่ทราบเป็นสหายเซียนจากหนใด นางอดมองซ้ำ 2-3 ครั้งไม่ได้

หนุ่มน้อยรูปงามเหยียบเมฆเหาะมาหยุดลงที่ระยะห่างจากตงหัวกับนางหลายสิบจ้าง ดูแต่ไกลไม่ทราบดึงกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากที่ใด ชี้มาทางตงหัวด้วยรังสีอำมหิตเข้มข้น ตวาดว่า

“ห่าย่าเจ้าเอ๊ยไอ้หน้าน้ำแข็ง ทำเอาเหล่าจือต้องมารอเจ้าอยู่ที่นี่ตั้งนานสองนาน เหล่าจือทำอะไรเกลียดการอืดอาดยืดยาดที่สุด เจ้าคงไม่ได้กลัวเหล่าจือซะแล้วหรอกนะ! จงเผยอาวุธของเจ้าออกมาซะดีๆ เหล่าจือจะต่อสู้ให้รู้ผลกับเจ้าโดยไว วันนี้ไม่อัดจนเจ้าฟันร่วงหมดปากล้างอายเมื่อครั้งก่อน เหล่าจือจะเขียนชื่อจากหลังมาหน้า!”

เฟิ่งจิ่วตาค้าง

นางมองดูหนุ่มน้อยรูปงามตรงหน้าผู้เรียกแทนตัวเองปาวๆ ทุกคำว่า “เหล่าจือ” ตาค้าง แล้วกลืนน้ำลาย ได้ตระหนักว่าเขาคงจะเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาแห่งเผ่ามาร เยียนฉืออู้นั่นเอง แต่นางไม่ค่อยเข้าใจนักว่า คำเล่าลือสารพัดเกี่ยวกับเยียนฉืออู้ที่นางได้ยินได้ฟังมา ต่างบอกว่าจอมมารผู้นี้เป็นชายหยาบกระด้างที่ไม่เข้าใจจิตใจสตรี และเพราะเหตุนี้เอง องค์หญิงจีเหิงถึงได้ไม่ยินยอมลงเอยกับเขา อย่าบอกนะว่าชายหยาบกระด้างในเผ่ามาร ล้วนแต่เป็นไอ้หนุ่มหน้าขาวหน้าตาท่าทางผิวบางแบบนี้ทั้งสิ้น? นางอดนึกจินตนาการไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเหล่าวิญญูชนผู้สง่างามแสนกรุ้มกริ่มที่เล่าลือกันของเผ่ามาร ควรจะมีหน้าตาเช่นไร? ครั้นในสมองปรากฏภาพชายฉกรรจ์ล่ำสันบึกบึนหนวดเครารกครึ้มเต็มใบหน้า มือถือพัดจีบลายกาพย์กลอน หันหน้าหาตะวันรอนเอื้อนบทกวีกำสรวลอย่างรันทดโศกา กระเพาะของนางพลันกระตุกแรงในทันที

ท่าทีของตงหัวอยู่ในการคาดคะเนทั้งสิ้น ภายใต้ถ้อยคำเปิดฉากอันฮึกเหิมพลุ่งพล่านตรงไปตรงมาของเยียนฉืออู้ ตงหัวยกมือขึ้นกล่าวตอบอย่างมารยาทดีเยี่ยมเพียงหนึ่งคำว่า

“เชิญ”

ท่าทีกิริยาขอไปทีอย่างชัดเจนทำเอาเยียนฉืออู้โกรธจัดจนเต้นผาง ถลึงตาอย่างดุดันแสดงสันดานอันธพาลออกมาว่า

“เชิญห่าย่าเจ้าสิ!” ขาดคำบนภูเขาสายลมคลั่งพลันกระโชก พัดพาปราการมารที่วนเวียนอยู่ข้างหลังเขารำไรให้เปิดออก เผยให้เห็นบึงกว้างใหญ่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแห่งหนึ่ง บนบึงใหญ่ซึ่งคลื่นสีดำกระเพื่อมแรง กลับมีทหารในชุดเกราะถืออาวุธหนักยืนเรียงอยู่หลายแถว

แต่เดิมเฟิ่งจิ่วก็มิได้มีประสบการณ์ผ่านตาในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงใจหายวาบ ตงหัวกลับสงบเยือกเย็น ขยับมือช่วยสางตัวนางที่ถูกสายลมคลั่งพัดจนม้วนเป็นก้อนอย่างอดทน ให้นางสามารถหมอบแนบไปกับด้ามกระบี่ของเขาได้

เยียนฉืออู้ยิ้มแต่ปากตาไม่ยิ้ม คิ้วตาทอประกายบุปผาวสันต์ส่องแข แค่นเสียงเย็นชา

“เหล่าจือกล้าท้าดวลกับเจ้า ย่อมมีการเตรียมพร้อมสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้ว”

เฟิ่งจิ่วยังมีแก่ใจแอบคิดว่า จีเหิงไม่ยินยอมลงเอยกับคนแซ่เยียนนี่ บางทีอาจจะมีเหตุผลซ่อนเร้นอื่น อาจจะเห็นว่าจะมีสามีที่งดงามกว่าตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ควงออกไปข้างนอกแล้วจะเสียหน้าสักปานใด พลันเห็นเยียนฉืออู้ยกมือบอกความหมายแก่ทหารชุดเกราะที่ใต้เท้า ยิ้มอย่างลำพองใจยิ่ง รอยยิ้มขับเน้นจนดวงหน้าของเขายิ่งเปล่งรัศมีเรืองรอง เฟิ่งจิ่วพยักหน้าเงียบๆ อยู่ในใจ ใช่แล้วละ จีเหิงไม่ยินยอมลงเอยกับเขา คงเป็นด้วยเหตุผลข้อนี้เสียละมาก

หลังจากเยียนฉืออู้คลี่ยิ้มอย่างลำพองใจ ก็กล่าวถ้อยคำดุดันอย่างหนักแน่นติดตามมาทันควัน พูดกับตงหัวอย่างเหี้ยมเกรียมว่า

“เห็นหรือยัง ข่ายมนตร์มารสะกดร่างที่เหล่าจือค้นคว้าสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ใช้วิญญาณมนุษย์โลกเจ็ดพันดวงหลอมขึ้นมา สิ้นเปลืองความพยายามของเหล่าจือไม่ใช่น้อย ถึงแม้จะเป็นวิญญาณร้ายทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าทำร้ายพวกมันแม้แต่ส่วนเดียว ก็จะสะบั้นทางถอยในการเข้าสู่วัฏสงสารละทิ้งความชั่วคืนสู่ความดีของพวกมันไปตลอดกาล เหล่าจืออยากจะเห็นนักว่า พวกเจ้าเผ่าเทพที่ยกยอตัวเองว่าเป็นพวกดีงาม จะทำลายข่ายมนตร์นี้ของเหล่าจืออย่างไร!”

เพียงอึดใจ เหล่าทหารสวมชุดเกราะที่หลอมสร้างขึ้นจากวิญญาณมนุษย์ก็ได้ติดตามหลังถ้อยคำอันดุดันของเยียนฉืออู้ นำพาสายลมเย็นยะเยือกสายฝนเทกระหน่ำพุ่งโถมเข้าหาตงหัวระลอกแล้วระลอกเล่า คงไว้ซึ่งรูปร่างเช่นมนุษย์ทุกประการ หากดวงตากลับทอแววดุร้ายตะกรามดุจหมาป่าโฉดชั่ว ศาสตราวุธในมือแผ่กลิ่นอายฆ่าฟันอันเย็นเยียบหมายพิฆาตให้ดับดิ้นท่ามกลางแสงสลัว

บึงกว้างไพศาล คลื่นยาวท่วมนภา วิญญาณทั้งเจ็ดพันเบียดกันถี่ยิบถาโถมต่อเนื่อง เห็นแล้วขนหัวลุกเกรียว เฟิ่งจิ่วย่อตัวลงนั่งตัวสั่นงันงกที่ข้างเอวตงหัว นางเป็นโรคกลัวสิ่งที่เบียดกันแน่นหนามาแต่เด็ก เมื่อแรกที่ได้เห็นภาพนี้รู้สึกเพียงขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง และไม่อาจมัวพะวงเรื่องดูหาประสบการณ์ใดๆ อีก คิดเพียงอย่างเดียวว่าจะหาทางถอยสักทางภายใต้สายตาของตงหัวอย่างไรดี

ยังไม่ทันได้คิดกระจ่างแจ้ง กระบี่ชางเหอที่นางแนบอยู่ก็หลุดออกจากฝักด้วยตัวเอง ตกลงสู่มือของตงหัวอย่างมั่นคง ลอยอยู่เหนือบรรพตฝูอวี่ด้วยบุคลิกเหลือบแลลงมองสรรพชีวิตอย่างผยอง รัศมีหนึ่งร้อยหลี่โดยรอบแสงเงินพลันแตกระเบิดออกดุจดอกไม้ไฟ กลืนกินความมืดมิดชั้นแล้วชั้นเล่า เผยปรากฏเงากระบี่เฉกเดียวกันนับพันหมื่นสาย เฟิ่งจิ่วถูกล้อมไว้ภายในใจกลางเงากระบี่แสงเงินวูบวาบนับพันหมื่นสายนี้อย่างงงงัน รู้สึกเพียงเบื้องหน้าสายตามีแต่แสงสีขาว เวียนศีรษะยิ่ง ระหว่างพลิกคว่ำและหงายมือ มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเงากระบี่เหล่านั้นบินออกไปอย่างไร รู้สึกเพียงดูเหมือนตัวเองก็กำลังบินเช่นกัน บินอย่างเหมือนจะมีรูปแบบและคล้ายจะไร้รูปแบบ ยิ่งเวียนศีรษะหนักขึ้น ริมโสตได้ยินสายลมคลั่งพัดหวีดหวิวและเสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วหมู่เมฆหนาทึบที่ไหวกระเพื่อม ครั้นได้สติ ก็กลับไปอยู่ในมือของตงหัวอีกครั้งแล้ว น้ำเลือดสีม่วงคล้ำย้อมเกลียวคลื่นซัดกระหน่ำภายในบึงใหญ่เป็นสีประหลาดพิกล มีหมอกเลือดบางหย่อมแตกกระเซ็นถึงบนบก กลับเหมือนเป็นพิษร้ายแรงกัดกร่อนพืชไม้ที่สัมผัสสลายเป็นควันสีเขียวจนหมดสิ้น ถัดมา เสียงไร้ซึ่งอารมณ์ของตงหัวได้ดังขึ้นว่า

“ทำลายแล้ว”

เฟิ่วจิ่วขบคิดอย่างหัวหมุนตาลาย ...อะไร “ทำลายแล้ว”?...

...อ้อ ข่ายมนตร์ไร้คุณธรรมที่เยียนฉืออู้พยายามสุดความสามารถสร้างขึ้นมานั่น ถูกตงหัวทำลายแล้ว...

นางเพิ่งจะประคองขมับตั้งสติ ดวงตาเพิ่งจะเริ่มเคยชินกับแสงสว่างปกติ ก็เห็นเยียนฉืออู้นำพาเงากระบี่หนักอึ้งพุ่งโจมตีเข้ามาหาอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ

“วิญญาณร้ายเจ็ดพันดวงที่เหล่าจือหลอมสร้างขึ้นนี้แม้จะฝ่าฝืนมรรคาฟ้าถูกกำหนดแน่ว่าต้องถูกลงทัณฑ์ แต่ก็ควรจะถูกอสนีสวรรค์ที่สวรรค์ทรงส่งมาลงโทษ พวกเจ้าที่เป็นเทพเซียนมิใช่ควรจะพยายามอย่างสุดกำลังส่งพวกเขาไปสู่สุคติหรือไร? วันนี้กระบี่ของเจ้าย้อมเลือดของพวกเขา มีแต่จะแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายว่านิยมเข่นฆ่า เจ้ากลับลงมืออย่างรวบรัดหมดจดนัก ไม่กลัวว่าสักวันสวรรค์จะทรงลงโทษในความผิดฐานนิยมเข่นฆ่าของเจ้าหรือไร?”

เฟิ่งจิ่วท่องในใจว่า “พุทโธ” อย่างหมดสิ้นทั้งแรงกายและแรงใจ ภาวนาให้สวรรค์ต้องทรงคุ้มครองให้กระบี่ที่เยียนฉืออู้ฟันเข้าใส่นี้ฟันถูกตัวกระบี่ชางเหอให้จงได้ ห้ามคลาดเคลื่อนแม้ส่วนเสี้ยว แต่ดูปราณกระบี่อันดุดันนั่นแล้ว นางอยู่ใกล้ตำแหน่งที่สองกระบี่ปะทะกันมากตั้งเท่าไร ต่อให้คนแซ่เยียนฟันได้ไม่คลาดเคลื่อนแม้ส่วนเสี้ยว ไม่แน่ว่าปราณกระบี่อาจจะทำร้ายนางได้อยู่ดี นางนึกน้อยใจขึ้นมาโดยพลัน เห็นว่าไฉนตงหัวจึงไร้คุณธรรมปานนี้ได้ ก็แค่พูดเล่นว่าเขาวิปลาสคำเดียวเท่านั้น เขากลับคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนี้ พร้อมกับนึกประชดตัวเองขึ้นมาว่า ปล่อยเขาไปเถิด หากวันนี้ถูกเขาทำร้ายถึงตายขึ้นมาจริงๆ ดูซิว่าเขาจะอธิบายกับชิงชิวของพวกนางอย่างไร! จะอธิบายกับท่านปู่ท่านย่าอาเตียอาเหนียงท่านลุงท่านป้าสะใภ้กูกูกูฟู่เสี่ยวซูเสี่ยวซูฟู่[7]อย่างไร!

ขณะที่กำลังคิดเพลิน แสงสว่างวาบสายหนึ่งพลันโจมตีเข้าใส่กะทันหัน ส่องสว่างจนหัวใจนางเกร็งเขม็ง สายตามองเห็นที่ขอบฟ้าพลันปรากฏแสงเงินสายหนึ่งแผ่ตัวออก กระแสเมฆไหลสีดำถูกทลายแยกออกดัง “ฟุ่บ” เงากระบี่ดุจหิมะตรงดิ่งเข้าใส่ เสียงอาวุธปะทะกันดังเข้าสู่โสต ตอบโต้ไปมา 2-3 กระบวนท่า เยียนฉืออู้พลันแค่นเสียงอย่างเจ็บปวด ฝีเท้าสับสนถอยหลังไปหนึ่งจ้าง ภายในเขตต่อสู้ เสียงย้อนถามราบเรียบของตงหัวได้ดังขึ้น

“ความผิดฐานนิยมเข่นฆ่า?” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ อานุภาพกลับหนักอึ้ง “เปิ่นจวินไม่ยุ่งเกี่ยวกับการศึกมาหนึ่งแสนกว่าปี เจ้าก็ลืมเสียแล้วหรือว่า กาลก่อนยามเปิ่นจวินควบคุมบงการความเป็นตายในหกพิภพนี้ มีบุคลิกเช่นไร?”

 

 

 

(ยังไม่จบบท)



[1]煦旸 วันฟ้าใสอันอบอุ่น, ตะวันขึ้นอันอบอุ่น

[2]溶溶湖水翠烟摇,高鬟照影碧波倾

[3]有情人成就眷属

[4]试金石

[5]三贞九烈

[6]水到渠成

[7]小叔 เสี่ยวซู แปลว่า อาผู้ชายคนเล็ก小叔父 เสี่ยวซูฟู่ แปลว่า สามีของอาผู้ชายคนเล็ก

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 11 พ.ค. 2557, 22:02

24 ความคิดเห็น