หัวข้อ : BOSS จินตนาการพิสดาร เล่ม 1 บทที่ 2 BOSS VS พระเอก

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 22:44

บทที่ 2

 

BOSS VS พระเอก

 

 

จนถึงตอนที่สงครามเทพบรรพกาลเริ่มประกาศเปิดตัว จื่ออวี๋จึงค่อยรู้ในที่สุดว่าทำไมตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นถึงได้มั่นใจขนาดนั้น

โฆษณาเกมทั่วฟ้าทั่วดิน ถ้าคุณไม่ได้ตัดขาดจากทางโลก คุณก็ต้องรู้จักเกมนี้อย่างแน่นอน นอกจากคำว่า “นับถือ” จื่ออวี๋ไม่มีคำพูดใดให้แก่กลยุทธ์ประกาศเปิดตัวของเกมสงครามเทพบรรพกาลอีก

โฆษณาของมันฝรั่งทอดได้ยืนยันให้ประจักษ์แล้วว่าโฆษณาคือกฎเหล็ก

น้ำอัดลมสองยี่ห้อยักษ์ได้ยืนยันให้ประจักษ์แล้วว่าโฆษณาคือการล้างสมอง

ผลิตภัณฑ์จากวิทยาการใหม่ล่าสุดสารพัดอย่างได้ยืนยันให้ประจักษ์แล้วว่าโฆษณาก็คือภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดของสิ่งที่ดีแต่เปลือก!

บัดนี้ สงครามเทพฯได้ยืนยันให้ประจักษ์แล้วว่าโฆษณาคือคำหลอกลวงที่พูดซ้ำเป็นครั้งที่หนึ่งหมื่น...

จุดขายของสงครามเทพฯ : ภาพฉากสวยงามอลังการ เควสที่ซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน พัฒนาการที่พลิกแพลงได้สารพัด ค่าตอบแทนสุดสูง และการท้าทายต่อบอสที่ได้ชื่อว่าปราบสุดยอดยากของสงครามเทพฯ

BOSS ที่ปราบสุดยอดยาก...จื่ออวี๋อ่านถึงตรงนี้แล้วนึกอยากจะทุบคอมพิวเตอร์ทิ้งขึ้นมาอย่างปุบปับ...

ตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่เขาเข้าสู่บริษัทนี้ได้สองเดือน เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าจะมีใครหน้าไหนสามารถเอาชนะบอสมืออาชีพอย่างพวกเขาได้จริงๆ

ตอนที่จื่ออวี๋ได้รู้การจัดกำหนดค่า status ของผู้เล่น ชายหนุ่มก็แน่ใจแล้วว่าต่อให้เป็นผู้เล่นเลเวล 120…เลเวลสูงสุดก็ไม่มีทางสู้ชนะเขาที่เป็นบอสเลเวล 72 ได้ ความจริงจื่ออวี๋สงสัยยิ่งกว่าอีกว่า เลเวลยังจะมีความหมายสำหรับบอสอย่างเขาอยู่อีกหรือ?

ต่อมา จื่ออวี๋ก็ได้รู้ว่าบอสอย่างพวกเขานั้น นอกจากพวกสกิลโจมตีพื้นฐานสุดๆ ที่แสดงบนหน้าจอแล้ว ยังสามารถใช้สกิลซ่อนบางอย่างผ่านวิธีบังคับด้วยมือโดยตรงได้ด้วย และสกิลพวกนั้น...อย่าไปพูดมันถึงเลย

เมื่อเข้าทำงานในบริษัทเกมเต็มตัว จื่ออวี๋ถึงค่อยได้สติรู้เช่นเห็นชาติในที่สุดว่าบริษัทเกมขี้โกงมากแค่ไหน

ยังดีที่บริษัทยังไม่ถือว่าขี้โกงเกินไป ในระหว่างเวลาสองเดือนที่ฝึกควบคุมบอสก็ได้บอกย้ำกับพวกเขาเหมือนกันว่าห้ามปล่อยสุดฝีมือกับผู้เล่นทุกกลุ่ม จะต้องรักษาอัตราการปล่อยผ่านด่านด้วย เพื่อเป็นการรับประกันว่าความกระตือรือร้นที่มีต่อพวกเขาเหล่าบอสของผู้เล่นจะไม่ดับมอดไป

จื่ออวี๋ได้ตระหนักในที่สุดเช่นกันว่าทำไมบริษัทถึงได้เชิญพวกเขาที่เป็นนักเล่นเกมอาชีพแทนที่จะใช้วิธีง่ายๆ อย่างการตั้งโปรแกรม...เป็นเพราะบอท!

ในการประกาศเปิดตัวของเกม ค่าตอบแทนสุดสูงก็เป็นจุดขายใหญ่จุดหนึ่งของเกมนี้เช่นกัน และไอ้ที่เรียกว่าค่าตอบแทนสุดสูงนี้ก็คือการมาท้าสู้กับบอสที่พวกจื่ออวี๋บังคับ ทันทีที่ชนะ บอสก็จะดร็อปของเทพหนึ่งชิ้นตามแต่โอกาส ซึ่งทางบริษัทได้รับปากว่าจะรับซื้อของเทพเหล่านี้กลับในราคาชิ้นละ 12000 หยวนโดยไม่จำกัดจำนวน

สำหรับโลกเกมออนไลน์ในปัจจุบัน เรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อนโดยสิ้นเชิง...แน่นอน พวกจื่ออวี๋นั้นรู้ถึงลูกเล่นที่ทางบริษัทใช้เป็นอย่างดี บริษัทไม่มีทางออกเงินเพื่อของเทพพวกนั้นแม้แต่สตางค์แดงเดียวอยู่แล้ว และผู้เล่นที่ได้ดร็อปของเทพเองก็ไม่มีทางขายมันให้บริษัทในราคาต่ำสุดนี้เด็ดขาดเหมือนกัน แต่จะต้องขายให้ผู้เล่นคนอื่นในราคาที่สูงกว่า 12000 หยวนอย่างแน่นอน กลยุทธ์นี้เลิศล้ำนัก ไม่เพียงดันราคาของของเทพขึ้นไปสูงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้เล่นหน้าโง่พวกนั้นตั้งความหวังกับพวกเขาเหล่าบอสอย่างสูงอีกด้วย

แต่ขณะเดียวกันบริษัทก็คิดได้อยู่แล้วว่า ผลประโยชน์ก้อนใหญ่จะนำพาผู้เล่นจำนวนมากมาหา และนำพาบอทจำนวนมหาศาลเหมือนกองทัพแมลงมาหา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของบริษัทถูกบั่นทอน จึงได้มีการออกแบบให้พวกจื่ออวี๋แปลงร่างเป็นบอสด้วยเหตุฉะนี้ ขอเพียงพวกจื่ออวี๋พบว่าในพวกผู้เล่นมีคนใช้บอท ก็จะบอกคนของฝ่ายเทคนิคทันที ฝ่ายเทคนิคจะทำให้พวกบอทออฟไลน์ทันที จากนั้นดำเนินการลงโทษตามแต่สถานการณ์

 

“หนึ่งคู่ห้า!”

“หนึ่งคู่ Q!”

“ใหญ่แค่นี้เรอะ? หนึ่งคู่ A!”

“ผ่าน...”

จากโคลสเบต้าเมื่อวันที่ 28 เดือนมิถุนายนถึงตอนนี้วันที่ 7 เดือนกันยายนซึ่งเริ่มโอเพนเบต้ามาได้ตั้งหลายวันแล้ว พวกจื่ออวี๋กลับได้แต่เล่นไพ่ คุยกัน อ่านหนังสือฆ่าเวลาไปวันๆ ในขณะที่ผู้เล่นหลายแสนคนข้างนอกกำลังสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ภายในออฟฟิศขนาดสามสิบกว่าผิง[1]แห่งนี้ บอสทั้งสี่คนกลับได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาทั้งวัน วาดหวังว่าวันไหนสักวันจะมีผู้เล่นมาเยี่ยมเยียนพวกเขาเหล่าบอสที่กำลังจะกลายเป็นเถ้ากระดูกอยู่แล้ว

“ตั้งสองเดือนกว่าแล้วนะ ผู้เล่นเลเวล 70 ขึ้นไปมีตั้งร้อยกว่าคนแล้ว ทำไมไม่มีมาเยี่ยมพวกเราเลยซักคน?” อาจ่ายนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จ้องหน้าจอตาแทบทะลุรอคอยอย่างทุกข์ทน

“ค่า status ของเลเวล 70 ยังไม่พอให้โดนคลื่นพลังปราณของบอสสองหนเล้ย จะมาหาที่ตายเรอะ?” A+กับอาอิ่งที่กำลังล้อมวงเล่นไพ่พูดตอบมา

“กองทัพมดกัดช้างตายนา! ต่อให้ไม่สู้ แค่มาดูว่าฉันหน้าตาเป็นยังไงก็ยังดีนะ!” อาจ่ายบ่นอุบอิบ

“ดูนาย...นายนึกว่านายเป็นนางเอกหนัง AV[2] รึไง?”

“ไอ้ห่า!” อาจ่ายชูนิ้วกลางให้คนพูด สายตาปรายไปยังคอมพิวเตอร์ของจื่ออวี๋ แล้วเลิกคิ้วทันที “ไม่แน่นะเสน่ห์ของพวกเราอาจจะมากยิ่งกว่านางเอกหนัง AV ก็ได้ เหอๆ!”

“มีคนมาแล้วเรอะ?” ศีรษะอาอิ่งผงกเงยขึ้นทันที

“จริงน่ะ? ในที่สุดก็มีคนมาจนได้?” ศีรษะA+หันขวับตามมาอีกราย

หนุ่มที่เซ็งอืดกันมาสองเดือนเหมือนแสดงหนังสุขนาฏกรรมก็ไม่ปาน สายตาสามคู่หันขวับไปจ้องคอมพิวเตอร์ของจื่ออวี๋พร้อมกันในพริบตา ย้อนไปดูจื่ออวี๋...นอนอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวแสนสบาย กำลังแหงนหน้าหลับสนิท

“พี่น้อง ตื่น มีคนมาแล้ว!”

จื่ออวี๋ขยับตัว แล้วหลับต่อ

“อาอวี่ ตื่นได้แล้ว ขืนไม่ตื่นอีกนายมีหวังได้ตายแน่!” จนปัญญาเข้า อาจ่ายได้แต่เขย่าระเบิดไม่ตั้งเวลาลูกนี้อย่างสุดชีวิต

หลังจากที่มีอยู่วันอาจ่ายใช้วิธีการป่าเถื่อนอย่างยิ่งปลุกจื่ออวี๋อย่างไม่กลัวตาย และถูกจื่ออวี๋ใช้สีหน้าผีดิบจ้องแช่แข็งไปทั้งวัน คนทั้งออฟฟิศก็รู้ทั่วกันโดยอัตโนมัติอย่างหัวไวสุดแสนว่า...ปล่อยให้จื่ออวี๋หลับไปตราบชั่วฟ้าดินสลายซะ จะไม่มีใครไปรบกวนเขาเด็ดขาด

การเขย่าอย่างรุนแรงทำให้จื่ออวี๋ลืมตาขึ้นอย่างรำคาญในที่สุด ขอเพียงอาจ่ายเขย่าเขาต่ออีกครั้งเดียว ดวงตาสีดำคู่นั้นจะจุดไฟลุกพรึบเผาอาจ่ายไหม้เป็นขี้เถ้าได้

“ลูกพี่ ทำงานได้แล้ว มีคนมาแล้ว!”

ขยี้ดวงตาที่เมื่อยล้า จื่ออวี๋ลุกจากเก้าอี้มานั่งตัวตรงในที่สุด มองไปที่จุดสีแดงบนเรดาร์ขนาดเล็กตรงมุมบนขวาของหน้าจออย่างอารมณ์บูดสนิท

สงครามเทพฯทั้งหมดแบ่งเป็น 25 เซิร์ฟเวอร์ แต่ฐานข้อมูลเป็นชุดเดียวกันหมด นั่นคือขอเพียงผู้เล่นมีหนึ่งไอดี ก็สามารถใช้ได้หมดในทั้ง 24 เซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์ที่ 25 กลับต่างออกไป เซิร์ฟเวอร์ที่ 25 คือเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งความจริงก็คือรังของพวกเขาเหล่าบอส...เซิร์ฟเวอร์เฉพาะของบอส

จุดวาร์ปย้ายที่ระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับเซิร์ฟเวอร์ ต้องมีแผนที่พิเศษเฉพาะจึงจะขับเคลื่อนได้ บอสแต่ละตัวจะมีแผนที่แยกเฉพาะเป็นเอกเทศทั้งหมด และจากเมืองที่ใกล้ที่สุดถึงจุดวาร์ป ด้วยความเร็วของการเคลื่อนไหวของตัวละครในเกม ต้องวิ่งเป็นเวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง โดยในระหว่างนี้จะไม่มีจุดฟื้นคืนชีพใดๆ ทั้งสิ้น

จุดแดงอยู่ตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรดาร์ คาดว่าคงจะเก็บเลเวลตรงชายฝั่งแม่น้ำหงบนชายแดนจุดวาร์ปเสร็จแล้ววิ่งมา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจุดวาร์ปเป็นผืนป่า นอกป่าก็คือแม่น้ำหง ทางตะวันตกคือแนวเทือกเขา ทางใต้คือทุ่งหญ้า ส่วนข้างหน้าถ้ำของฝูซีคือป่าโปร่งบางตาขนาดเล็ก หญ้ารกหินระกะเรียงรายกระจายตัวอย่างมีรูปแบบอยู่ในที ในช่วงเวลาสองเดือนมานี้ สิ่งเดียวที่จื่ออวี๋ตั้งใจดูก็คือตำแหน่งที่เหมาะแก่การทำมอนค้าง[3]ของสถานที่เหล่านี้

เอาเถอะๆ ตั้งสองเดือนแล้ว ในที่สุดก็จะเริ่มงานสักที

จื่ออวี๋พิมพ์คำสั่งชุดหนึ่งลงไปในช่องกรอกคำสั่งด้านล่างสุด...สิ่งนี้ก็เหมือนกับแถบที่ผู้ซึ่งกำลังเล่นเกมออนไลน์ทุกคนมองเห็นนั่นแหละ ที่ต่างกันคือ ผู้เล่นใช้มันไว้แชตคุยกัน ส่วนพวกจื่ออวี๋ใช้พิมพ์คำสั่งเข้าไป

จื่ออวี๋คลิกเมาส์ บนหน้าจอมีหน้าต่างเด้งออกมาหนึ่งหน้าต่าง บนหน้าต่างแบบตารางไม่มีรูปมีตัวละครอยู่แค่ตัวเดียว นี่คือของที่บอสใช้ตรวจดูเลเวลและไอเท็มของผู้เล่นที่มาท้าสู้นั่นเอง ในอีกแง่หนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นเตี๊ยมกับคนรู้จักของตัวเองหรือจงใจไม่ปล่อยให้ผู้เล่นที่มีข้อบาดหมางกันผ่าน ทางบริษัทจึงทำให้พวกบอสมองไม่เห็นชื่อของผู้เล่น

โอ้โห! มิน่าถึงกล้าแล่นมาท้าดวลเดี่ยว

ฝ่ายตรงข้ามเป็นนักธนู เลเวล 69 แต่กลับมีค่า status ของเลเวล 75, ถือธนูท็อป[4]ที่ถึงจะไม่ได้เจ๋งเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ติด 1 ใน 3 ได้, เครื่องป้องกัน[5]ทั้งตัวเองก็ไม่มีทางหลุดจากท็อปเท็น แล้วยังมีสัตว์เลี้ยงสายโจมตีสุดยอดเวอร์ที่ดูยังไง้ยังไงก็แสนจะคุ้นตาตัวนั้น ทั้งที่เป็นเสือดำชัดๆ กลับเหินฟ้าว่ายน้ำเดินบกได้ครบถ้วน พระเอกสุดโหลที่แล่นออกมาจากนิยายแนวเกมออนไลน์เรื่องไหนสักเรื่องตัวเป็นๆ ดีๆ นี่เอง...

อย่านึกนะว่าแค่ติดปีกเข้าไปคู่เดียวแมวดำของนายตัวนั้นก็รบกลางอากาศได้แล้ว!

อย่านึกนะว่าแค่มีเครื่องป้องกันเทพก็จะทั่วหล้าไร้ผู้ต้าน!

เลเวล 120 ยังไม่อยู่ในสายตาพ่อเมิง ต่อให้นายเพิ่มค่า status อีก 5 เลเวลฉันก็ฆ่านายได้ในพริบตาอยู่ดีล่ะวะ!

ถึงแม้ตอนนี้จื่ออวี๋จะนั่งอยู่ตรงนี้เตรียมทำงานอย่างใจเย็นและตั้งใจมาก แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำเนื่องจากนอนไม่พอเปล่งรังสีอำมหิตแรงกล้า ถ้าไม่ใช่เพราะทางบริษัทกำหนดไว้ว่าห้ามฆ่าผู้เล่นในพริบตาล่ะก็ ตอนนี้เจ้าคนดวงซวยที่น่าสงสารนั่นมีหวังได้กลับบ้านไปแล้ว

ขณะที่ทางด้านนี้จื่ออวี๋ยังคงนึกอยากจะฆ่าคนเนื่องจากอารมณ์โมโหที่ถูกปลุกตื่น ทางด้านนั้นระยะห่างของผู้เล่นได้เข้ามาใกล้จนไม่ต้องใช้เรดาร์...สามารถมองเห็นได้จากบนหน้าจอแล้ว

ชุดเขียวตลอดตัวคือรูปร่างพื้นฐานที่ทางบริษัทกำหนด ต่อให้สวมเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด เปลือกนอกก็ไม่มีทางเปลี่ยน อยากจะเปลี่ยนรูปแบบ? สามารถใช้เงินซื้อเสื้อผ้าในเกมได้ ในหน้าต่างแสดงไอเท็มมีช่องสำหรับเก็บไอเท็มอยู่สองช่อง ช่องหนึ่งไว้เก็บไอเท็มพิเศษสำหรับเพิ่มค่า status, อีกช่องไว้เก็บไอเท็มเสื้อผ้าเครื่องประดับ

คนชุดเขียวยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงที่ไกลสุด จื่ออวี๋เดาว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกตการณ์บอส ส่วนตัวเขาได้อาศัยการเปรียบเทียบกับผู้เล่นธรรมดา ทำให้ได้รู้ในที่สุดเช่นกันว่า ส่วนสูงของฝูซีเป็นสี่เท่าของตัวละครทั่วไปเป็นอย่างน้อย เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมา

รอได้สองนาที ตัวละครที่เหมือนพระเอกนั่นยิงธนูใส่จื่ออวี๋อย่างหยั่งเชิง เลือดลด 34 พอยต์...ฝูซีมีค่าเลือด 56000…

จื่ออวี๋ชักหงุดหงิด ฝูซีแหงนหน้าคำรามออกมาเสียงดัง ท้องฟ้าเมฆดำหนาทึบในพริบตา เมฆดำก้อนใหญ่มหึมาแซมสายฟ้ากอปรเป็นวังน้ำวนหมุนคว้างอยู่เหนือศีรษะของฝูซี ลำตัวงูขนาดใหญ่ยักษ์รุกเข้าประชิด “พระเอก” อย่างรวดเร็ว

“พระเอก” ยิงธนูเสร็จก็หันตัวกลับเริ่มเผ่นหนี เมื่อพบว่าฝูซีตามมาข้างหลังอย่างเดือดจัด “พระเอก” ก็ขึ้นขี่เสือดำบินขึ้นฟ้าทันที ก้มลงมองฝูซีคำรามใส่เขาจากข้างบน

เสือดำบินวนเหนือศีรษะฝูซีไป 2-3 รอบ พบว่าฝูซีเหมือนจะทำอะไรของที่อยู่บนฟ้าไม่ได้ “พระเอก” ที่นั่งอยู่บนตัวเสือดำเริ่มพาดศรน้าวสาย แสงธนูสีเงินเคียงคู่ดวงแสงสีฟ้ายิงเข้าใส่กระหม่อมของฝูซี

หัวลูกศรจมเข้าสู่ร่างฝูซี จื่ออวี๋รู้ดีว่าแสงสีฟ้านั้นเป็นการแสดงว่าโจมตีโดยแฝงเวทมนตร์ แถมเลเวลสกิลของ “พระเอก” สูงมาก จริงดังคาด แค่ดอกเดียวก็ลดเลือดของฝูซีไปถึง 109

เมื่อเห็นว่าการโจมตีได้ผล “พระเอก” ก็ทำตามแบบเดิมรัวธนูลงใส่ไม่หยุดมือ ในลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าที่พุ่งลงไปเดี๋ยวๆ ก็จะแซมแสงสีฟ้าของการโจมตีด้วยสกิลซะหนึ่งครั้ง พุ่งวาบเข้าใส่ฝูซีเหมือนเส้นผมที่เรียงต่อกัน

ค่าเลือด 56000 ค่อยๆ ลดลงจนถึง 54970 ฝูซีกลับเอาแต่เลื้อยกลับไปกลับมาอยู่ข้างล่าง เหมือนทำอะไรกับทั้งหมดนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ “พระเอก” มีพลังโจมตี 109, ธนูบวกสกิลมีพลังโจมตี 167, ธนูโจมตีปกติลด 30 ขึ้นไป, ธาตุน้ำแข็งเลเวล 7 พลังโจมตีประมาณ 100 (เลเวลสูงสุดของสกิลเป็น 10 ทั้งหมด) หนึ่งนาทีอย่างมากสุดลดค่าเลือดของฝูซีได้ประมาณ 3600 ส่วนฝูซีอัตราฟื้นฟูเลือดอัตโนมัตินาทีละ 2800

จื่ออวี๋พยักหน้า ต่อสู้จริงครั้งแรก ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ข้อเปรียบเทียบที่ค่อนข้างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างบอสกับผู้เล่นธรรมดาทั่วไป

ถึงเวลาที่ควรจะตอบโต้กลับเสียทีล่ะนะ จื่ออวี๋มองหนึ่งคนหนึ่งเสือที่ยังคงบินอยู่บนฟ้าอย่างได้ใจ หัวเราะหึๆ อย่างแสนชั่วร้ายสองครั้ง

ในที่สุดฝูซีที่ไม่ได้ตอบโต้เลยตั้งแต่ต้นจนจบก็บันดาลโทสะจนได้ ใบหน้าสีเขียวแหงนคำรามเสียงดังอีกครั้ง สองมือทำเป็นรูปสามเหลี่ยมหันหาฟ้า เสียงฟ้าร้องดังสนั่นสนองรับท่ามือ สายฟ้าสายหนึ่งพุ่งวาบเข้าโดน “พระเอก” อย่างจัง

ดูท่าทางสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเกินไป หลังจากถูกสายฟ้าฟาดใส่ “พระเอก” ก็หยุดอยู่กับที่อย่างตกตะลึงพรึงเพริด จากนั้นปรับเปลี่ยนทิศทาง เผ่นหนีไปทางทิศขามาอย่างรวดเร็วดั่งเหินบิน

ใช่สิ ถ้าถูกฟันค่าเลือดลดไป 90% ในครั้งเดียว ฉันเองก็จะเผ่นเหมือนกัน

กระตุกยิ้มมุมปากอย่างหงุดหงิด ถึงแม้ทางบริษัทจะกำหนดไว้ว่าห้ามเข่นฆ่าให้สิ้นซาก แต่จื่ออวี๋ยังคงนึกเจ็บใจอยู่ดีที่ไม่ได้ตามไปซ้ำสายฟ้าเพิ่มอีกสาย

“ห่าเอ๊ย! บอสนี่เก่งจริงๆ ด้วย” หลังดูการต่อสู้จริงรอบแรกจบ อาจ่ายก็ถอนใจชมเสียงดัง

“แบบนี้มันน่าเบื่อเกินไปแล้ว...” ความรู้สึกของอาอิ่งกลับเหมือนจื่ออวี๋ ภายใต้พลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง มันไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย

“น่าเบื่อ?” อาจ่ายไม่อยากจะเชื่อ “น่าเบื่อตรงไหนกัน? นายไม่เห็นหรือว่าเจอกับคนที่แข็งขนาดนี้ยังสบายเหมือนหั่นผัก? ฉันว่าถ้าเข้าไปในเมืองได้นะ คลื่นพลังปราณทีเดียวก็กวาดคนทั้งเมืองได้แล้ว แบบนั้นจะสะใจแค่ไหน!”

จื่ออวี๋พูดไม่ออก อาอิ่งเองก็พูดไม่ออก...

 

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเอกสุดเก่งคนนั้นท้าสู้จื่ออวี๋ ในเวลาหนึ่งเดือนบอสอีกสามคนนั่นก็มีผู้เล่นทยอยไปรายงานตัวเหมือนกัน การศึกทั้งใหญ่น้อยร้อยกว่ารอบ จนใจที่ของเทพไม่มีดร็อปเลยสักชิ้น

ถึงแม้ในสงครามเทพบรรพกาลจะมีบอสสูงสุดมากถึงสี่ตัว แต่ผู้เล่นเกินกว่าครึ่งต่างแห่กันมาหาจื่ออวี๋ทั้งนั้น เหตุผลไม่ใช่อะไร ผู้เล่นทุกคนต่างรู้สึกว่าจื่ออวี๋คือบอสที่กระจอกที่สุดในบอสทั้งสี่ตัวนั่นเอง

ซึ่งความจริงบอสทั้งสี่ตัวนั้น นอกจากรูปร่างภายนอกที่ไม่เหมือนกันแล้ว สกิลแทบจะเหมือนกันทั้งหมด ถึงแม้สังกัดธาตุจะแตกต่างกันเล็กน้อย ค่าพอยต์ด้านต่างๆ ก็ต่างกันอยู่นิดหน่อย แต่ความสามารถโดยรวมจะเสมอภาคกันหมด

ที่ผู้เล่นเข้าใจว่าฝูซีคือบอสที่กระจอกที่สุดในบรรดาบอสทั้งหมด ก็เนื่องจากอาจ่ายกับA+เป็นคนประเภทเดียวกัน เห็นมีคนปุ๊บก็ปล่อยคลื่นพลังปราณออกไปหนึ่งทีกวาดคนหมอบไปซะครึ่งก่อน จากนั้นค่อยใช้การโจมตีในวงแคบ ไม่ถึงสามนาที จะเห็นแต่ซากศพเกลื่อนกลาด

อาอิ่งจะออกแรงมากกว่าหน่อย ให้ผู้เล่นได้เห็นความหวังว่าสามารถจะฆ่าเขาได้ แต่เขาเองก็จะค่อยๆ ตอดจนผู้เล่นกระสุนหมดเสบียงเกลี้ยง สุดท้ายก็จำใจต้องเปิดหนีไปเอง

ส่วนจื่ออวี๋กลับชอบที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นดูผู้เล่นล้อมฆ่าเขาเหมือนมดแทะกระดูก ขณะที่ตัวเขาจะหันเข้าอัดผู้เล่นจนจมูกเขียวช้ำหน้าบวมฉึ่งทีละคนๆ โดยขี้เกียจแม้แต่จะใช้สกิล จากนั้นปล่อยให้พวกผู้เล่นเผ่นหนีกลับบ้านไป

“อาอวี่ นายใจดีกับพวกนั้นเกินไปแล้ว” อาจ่ายนั่งฟุบบนเก้าอี้อย่างเบื่อหน่ายดูจื่ออวี๋ปล่อยให้ผู้เล่นหนีไปเป็นครั้งที่ N[6] ยกกำลังสอง ส่วนตัวเขาเองไม่มีคนมาเยี่ยมเยือนตั้งอาทิตย์กว่าแล้ว

“ฉันไม่มีนิสัยชอบทารุณกรรมสัตว์ตัวเล็กๆ เหมือนนายนี่”

“ฉันว่านายต่างหากมั้งที่ชอบทารุณกรรมสัตว์ตัวเล็กๆ? นายน่ะต้องเป็นพวกชอบทรมานคู่ต่อสู้ทีละนิดๆ จนเป็นบ้า แล้วดูเขาฆ่าตัวตายไปเองแหงๆ”

จื่ออวี๋ถลึงตาใส่ ขี้เกียจไปสนใจอาจ่าย อาจ่ายเองก็ไปชวนคนอื่นคุยด้วยอย่างรู้ตัวเองดี

ถอนหายใจหนึ่งเฮือกจิบน้ำชาหนึ่งคำ จื่ออวี๋เงยหน้าขึ้น พบว่ามีคนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาทางเขาอีกแล้ว

บางทีเขาอาจจะควรจะเลียนแบบอาจ่ายด้วยคนก็ได้ คลื่นพลังปราณสักทีกวาดเจ้าพวกนั้นให้ตายให้หมด ง่ายดายเหมือนลมสารทกวาดใบไม้ร่วง จื่ออวี๋ถูกเจ้าพวกนี้กวนจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว

เรียกข้อมูลของผู้เล่นกลุ่มนี้ขึ้นมาดูตามระเบียบ จำนวนรายชื่อที่ยาวเหยียดมีกันอย่างน้อยสี่สิบกว่าคน แถมดูเลเวลกับสกิล คนกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จสูงมาก

ในสี่สิบกว่าคนนี้ คนที่เลเวล 85 ขึ้นไปมีถึงสิบคน วัตถุโจมตีเวทมนตร์โจมตีเพิ่มพลังมีครบครันทุกสาย เครื่องป้องกันบนตัวก็ถือได้ว่าเป็นของท็อป โดยเฉพาะธนูท็อปในจำนวนนั้น จื่ออวี๋ดูแล้วรู้สึกคุ้นๆ ตาชอบกล เหมือนจะเป็นคันที่พระเอกที่ไหนสักคนเคยใช้มาก่อนคันนั้นแหละ คนที่เหลือก็เลเวล 60 ขึ้นไปกันทุกคน มีครบทุกสายอีกเช่นกัน แต่เป็นนักดาบ นักธนู นักสู้เสียกว่าครึ่ง

ขณะที่จื่ออวี๋ยังคงอ่านข้อมูลอยู่ คนพวกนั้นก็ได้แห่กันเข้ามาล้อมฝูซีเป็นวงใหญ่ จื่ออวี๋สังเกตดูอยู่ครู่ ก็พบว่ามีเสือดำที่คุ้นตามากอยู่หนึ่งตัวจริงๆ คาดว่าครั้งก่อนเจ้าพระเอกนั่นแพ้กลับไป ครั้งนี้เลยพาสมัครพรรคพวกกลับมาล้างแค้นแหงๆ

แม้จื่ออวี๋จะมองไม่เห็นชื่อของคนพวกนี้ แต่กลับสามารถมองเห็นคำพูดสนทนาของพวกเขาได้ ในช่องคำพูดที่เลื่อนขึ้นไปตลอดไม่ได้หยุด ดูเหมือนจะมีอยู่ 2-3 คนที่เป็นหัวหน้าหลักของคนกลุ่มนี้

‘ไคว่เจี้ยน (ดาบไว) นายนำนักดาบกับนักสู้ไปอยู่ข้างหน้า พอเลือดลดลงถึงต่ำน้อยกว่า 1/3 ก็ให้เพิ่มพลังกันเอาเอง’

‘ฉันนำเซียนยืนตรงกลาง นักธนูอยู่ด้านนอกสุด’

‘ลูกพี่ สายฟ้าฟาดของมันครั้งนึงพลังโจมตีเท่าไหร่?’

‘1000 เซียนกับหลางจง[7]รับสายฟ้าครั้งเดียวของมันไม่ได้แน่ ให้พวกเขาไปยืนด้านนอก’

จื่ออวี๋แน่ใจแล้วว่าคือหมอนั่นเอง นอกจากในครั้งแรกที่รับมือหมอนั่น เขายังไม่เคยปล่อยสายฟ้าฟาดมาก่อน จนทำเอาผู้เล่นมากมายต่างสงสัยว่าเขาโจมตีด้วยสกิลไม่เป็น

‘ซินซาง (ปวดหัวใจ) ถ้าครั้งนี้ยังจัดการมันไม่อยู่หมัดอีก นายจะไปหากลุ่มเทพอีกกลุ่มมาช่วยอีกหรือเปล่า?’

‘เหอๆ...ถึงตอนนั้นฉันค่อยคิดหาวิธีต่อเอง’

‘วิธีไหน?’

‘ไว้เอามันไม่อยู่หมัดจริงๆ ก่อนฉันค่อยคิด ’

‘……’

‘ใช้ได้แล้ว เริ่มได้!’

พร้อมกับที่ข้อความนี้เด้งขึ้นมา ตัวละครต่อสู้ระยะประชิดยี่สิบกว่าตัวก็เริ่มต้นฟันเล่นงานใส่ฝูซีอย่างดุเดือด

ถึงจำนวนคนจะมาก แต่พลังโจมตีหลักยังคงเป็นคนที่เลเวลสูง 4-5 คนนั้นอยู่ดี แถมเห็นได้ชัดว่าเครื่องป้องกันของพวกนั้นไม่ได้ดีเท่าของ “พระเอก” โจมตีบวกสกิลหนึ่งครั้งก็ลดเลือดของฝูซีไปแค่ไม่ถึง 90 เท่านั้น แต่ยี่สิบกว่าคนฟันพร้อมกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่รับมือได้สบายๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะการโจมตีของนักดาบเร็วเป็นพิเศษ ความเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่วว่องไวมาก ส่วนค่าป้องกันของนักสู้นี่แข็งเหมือนควายเหล็กยังไงยังงั้น ต่อสู้อย่างหนักแน่นมั่นคง พลังภายในโจมตีใส่แต่ละครั้งงี้เจ็บหนักๆ ทั้งนั้น

ที่ย่ำแย่สุดคือเซียน โจมตีระยะไกลเหมือนกัน ธนูยิงใส่ตัวฝูซีอย่างมากก็ลดเลือดประมาณ 100 แต่ลูกไฟของเซียนลูกเดียวก็สามารถเผาเลือดไปได้ 300 อัพแล้ว ต่อให้เซียนต้องใช้เวลานานพอสมควรรอให้สกิลคูลดาวน์ ก็ยังโจมตีได้เห็นผลมากยิ่งกว่าทุกอาชีพอยู่ดี

อึดใจเดียวค่าเลือดของฝูซีก็ลดฮวบจากเลือดเต็มลงไปถึง 47651 ไม่ถึงยี่สิบวินาทีก็ฟันค่าเลือดเขาทิ้งไปตั้งเกือบหนึ่งหมื่น

ระหว่างที่พรรคพวกทั้งหลายก้มหน้าก้มตาขยันทำงาน ฝูซีเองก็ไม่ได้อยู่ว่าง พอรู้ว่าครั้งนี้จะแอบอู้ไม่ได้อีก ตั้งแต่เริ่มต้นฝูซีก็มือจับสามง่าม สามง่ามสีดำเปล่งแสงสีขาวหม่นเย็นเยียบตลอดทั้งอัน ฝูซีขดลำตัวงู สองมือกุมสามง่ามเทพที่สูงเท่าตัวเองทิ้งดิ่งลงตั้งตรงบนพื้น แสงสีเขียวจางหนึ่งชั้นห่อหุ้มฝูซีไว้ข้างใน แสงจางๆ นี้อยู่ไม่ถึงหนึ่งวินาที ฉับพลันนั้นคมแสงสีขาวระลอกหนึ่งได้แผ่วาบออกรอบด้านเหมือนคลื่นเสียง

ทุกที่ที่แสงสีขาวไปถึงเป็นเหมือนคมเคียวมัจจุราช ไม่ว่าจะเป็นนักดาบกับนักสู้ที่ล้อมอยู่ตรงหน้าฝูซี เซียนกับนักธนูที่อยู่ตรงกลาง หรือหลางจงที่อยู่ด้านนอกสุด ตัวหนังสือสีแดงที่แสดงว่าเสียเลือดได้สว่างขึ้นทั่วทั้งจอเหมือนกระอักเลือดออกมาจริงๆ ยังไงยังงั้น

คลื่นพลังปราณโจมตีเป็นของสุดรักของพวกอาจ่าย ค่าพลังคุ้มกันไม่มีผล ค่าพลังโจมตี 700 ทั้งหมด มากพอที่จะฆ่าไอดีเลเวล 70 ลงไปที่ไม่ใช่นักสู้ทุกราย ตอนนี้จื่ออวี๋เองก็จำต้องยอมรับว่า เจ้านี่ทั้งเร็วและใช้สะดวกเหมือนปุ่ม delete เปี๊ยบ

แสงสว่างจางไป สี่สิบกว่าคนในที่นั้นกลับไม่มีใครหมอบเลยสักคน ถึงแม้เลือดของเซียนกับหลางจงที่เลเวลต่ำบางคนใกล้จะถึงก้นหลอดอยู่รอมร่อ แต่ขอเพียงยังเหลือลมหายใจอีกเฮือก พวกเขาก็จะสามารถเติมเลือดจนเต็มทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว

คลื่นพลังปราณครั้งเดียวได้ทำให้เซียนกับหลางจงต่างหยุดโจมตีและเริ่มเติมเลือดให้ตัวเองกับพรรคพวก ส่วนนักดาบกับนักสู้ที่ต่อสู้ประชิดตัวกลับไม่ได้รับผลกระทบมากมายอะไรนัก นักดาบกับนักสู้เลเวล 80 ขึ้นไปแทบจะเสียเลือดแค่ไม่ถึง 1/3

‘เจ้านี่ใช้คลื่นพลังปราณเป็นด้วยเรอะ? โกหกเปล่านั่น?’

‘บอสอีกสามตัวที่เหลือใช้เป็นกันทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่เป็นไม่ใช่เรอะ?’

‘แต่ไม่เคยมีใครเห็นมันใช้มาก่อนเลยนี่!’

‘นั่นก็ได้แต่บอกว่าพวกเราโชคดี...’

แม้คลื่นพลังปราณหนึ่งทีจะทำให้สถานการณ์ค่อยผ่อนคลาย แต่ค่าเลือดของฝูซีก็ยังคงลดลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัดเจนอยู่ดี

‘ไคว่เจี้ยน นำเซียนตั้งค่ายกล’

อ๋า! ไอ้บ้านั่นอีกแล้ว...ถึงจะมองไม่เห็นว่าใครกำลังพูด จื่ออวี๋ก็เดาได้อยู่ดีว่าต้องเป็นเจ้า “พระเอก” นั่นแน่ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหัวหน้าของคนก๊วนนี้

ในสงครามเทพบรรพกาลมีสกิลพิเศษชนิดหนึ่งชื่อว่า “ค่ายกลเซียน” ออกจะคล้ายๆ กับค่ายกลกระบี่ของค่ายพรรคในยุคโบราณ แต่ผลลัพธ์กลับเลียนแบบวงเวทของยุโรปในยุคกลาง เซียนจำนวนที่แน่นอนยืนในตำแหน่งที่กำหนดเฉพาะ ใช้สกิลเดียวกันพร้อมๆ กัน ผลลัพธ์นั้นจะบอกว่าผืนฟ้าถล่มผืนดินทลายก็ไม่ได้เวอร์เกินไปเลย

แต่พลังทำลายที่มหาศาลก็หมายถึงค่าทดแทนที่สูงเอาการเช่นกัน ก่อนอื่นค่ายกลเซียนที่ต่างกันจะใช้ร่วมกันไม่ได้ เซียนทุกคนจะต้องมีสกิลค่ายกลเซียนเดียวกันทั้งหมด และหนังสือสกิลค่ายกลเซียนจะได้มาจากการตีมอนสเตอร์เท่านั้น ถัดไป เซียนที่ก่อตั้งค่ายกลเซียนจะต้องมีค่าเวทมนตร์โจมตีต่างกันห้ามเกิน 10, นั่นก็คือในเวลาแบบนี้เซียนระดับท็อปเป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น สุดท้าย ตอนที่ก่อตั้งค่ายกล ขอเพียงคนหนึ่งถูกโจมตี คนอื่นที่เหลือก็จะถูกโจมตีเท่ากันทั้งหมด

ค่ายกลเซียนยากแสวง จนถึงตอนนี้ สงครามเทพบรรพกาลเริ่มต้นมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่มีบันทึกว่ามีใครหน้าไหนใช้ค่ายกลเซียนมาก่อนเลย

ตัวเขาจื่ออวี๋ช่างรู้สึกเป็นเกียรติอะไรอย่างนี้ ที่โชคดีมีโอกาสได้เป็นคนแรกนี้...

ขณะที่จื่ออวี๋กำลังคิดว่าจะให้พวกนั้นตั้งค่ายกลเซียนให้ตัวเขาได้เปิดหูเปิดตาดี หรือปล่อยคลื่นพลังปราณเข้าใส่อีกสักทีก่อนที่พวกนั้นจะก่อตั้งค่ายกลเซียนเสร็จดี ในกลุ่มคนก็ได้มีจุดแสงสว่างมากมายสว่างวาบขึ้นโดยเรียงตัวเป็นรูปวงกลมหนึ่งวง

ดูท่าทางคงจะวางแผนกันมาแต่แรก พวกเซียนตรงจุดแสงเหล่านั้นได้เข้าประจำที่ไปเรียบร้อยแล้ว จื่ออวี๋ลองนับดู ทั้งหมดสิบสี่คน ดูท่าทางจะเป็นจำนวนเซียนทั้งหมดของคนกลุ่มนี้แล้วล่ะนะ และจากที่พวกจื่ออวี๋ซึ่งเป็นพนักงานคนในรู้มา ค่ายกลเซียนขนาดเล็กสุดคือสิบสองคน ขนาดใหญ่สุดจำนวนคนมีมากได้ถึงสามสิบหกคน ดังนั้นค่ายกลนี้ยังถือว่าเล็ก

ไม่รอให้จื่ออวี๋คิดนานไปกว่านี้ แสงทองสิบสี่สายจากสิบสี่ทิศได้ยิงเข้าใส่ฝูซีพร้อมกัน



[1] ผิง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 ผิง = 3.3 ตารางเมตร

[2] AV (Adult Video) คือ หนังโป๊, หนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งนางเอกที่แสดงจะต้องสวย

[3] ทำมอนค้าง (ข่าก้วย : ka guai) คือการที่ผู้เล่นใช้ประโยชน์จากรูปแบบการเคลื่อนไหวของมอนกับสภาพภูมิประเทศบางอย่างในเกม เช่น ก้อนหิน ต้นไม้ ลำธาร สกัดขวางมอนเอาไว้ให้ไม่สามารถโจมตีตัวเองได้ ได้แต่ยืนนิ่งค้าง ทำให้ผู้เล่นสามารถโจมตีมอนแต่ฝ่ายเดียวได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นจุดบกพร่อง (BUG) ของระบบโปรแกรมของเกม

[4] ของท็อป (top item) หมายถึง ของที่ระดับสูงสุด ณ เวลานั้นๆ หากเกมมีการ update patch เมื่อไร ก็จะมีของท็อปอันใหม่ออกมา

[5] คนจีนที่เล่นเกมจะเรียกอาวุธ ชุดเกราะ ชุดคลุม ชุดเบา และเครื่องสวมใส่ทั้งหมดด้วยคำว่า “เครื่องป้องกัน” (จวงเป้ย : zhuang bei)

[6] ครั้งที่ N (เอ็น) ตัว N ในที่นี้ เป็นค่าทางคณิตศาสตร์จากจำนวนนับ 1,2,3,…,N ซึ่งคนจีนยุคใหม่นิยมนำมาใช้ในบริบทลักษณะนี้ “N” จะมีความหมายว่า “นับไม่ถ้วน” คือ ไม่ทราบว่าเป็นจำนวนเท่าไร

[7] หลางจง คำเรียกขุนนางที่มีหน้าที่เป็นหมอระดับล่างในสมัยโบราณของจีน

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 22:44

1 ความคิดเห็น